นายสังศิต พิริยะรังสรรค์ ประธานและผู้อำนวยการโครงการปริญญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาการพัฒนาธรรมาภิบาล มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม กล่าวว่า การที่รัฐบาลยอมชะลอแผนปฏิบัติการเพื่อปรับปรุงโครงสร้างการบริหารจัดการเพื่อฟื้นฟูฐานะทางการเงินของการรถไฟแห่งประเทศไทย(ร.ฟ.ท.)ออกไปอย่างไม่มีกำหนดนั้น ไม่ใช่แนวทางการแก้ปัญหาที่ตรงจุด และจะกลายเป็นบรรทัดฐานให้กับรัฐวิสาหกิจอื่นๆ ปฏิบัติตาม ซึ่งจะส่งผลกระทบในระยะยาวไม่ก่อให้เกิดการพัฒนารัฐวิสาหกิจที่ยั่งยืน ดังนั้นรัฐบาลจะต้องมีจุดยืนในเรื่องดังกล่าวให้ชัดเจนเพื่อรักษาผลประโยชน์ของชาติ
ทั้งนี้ การพัฒนารัฐวิสาหกิจไม่จำเป็นจะต้องดำเนินการไปในแนวทางการแปรรูปเพียงอย่างเดียวตามที่คนบางกลุ่มวิตกกังวลว่าจะเป็นการขายสมบัติของชาติให้กับเอกชน กรณีแผนฟื้นฟูกิจการ ร.ฟ.ท.เห็นได้ชัดเจน โดยมีหลักการเพียงแค่เป็นการแยกกิจการออกมาเพื่อการบริหารที่ดีขึ้น ไม่ได้มีประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการแปรรูปใดๆ ทั้งสิ้น เพราะทั้ง 3 กิจการนั้น ร.ฟ.ท.ยังดูแลอยู่เพียงแต่แยกการบริหารจัดการออกจากกันเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการบริหารงาน
สำหรับการพัฒนารัฐวิสาหกิจไทยจำเป็นที่จะต้องดำเนินการควบคู่ไปกับหลักธรรมาภิบาล เพื่อให้เกิดการยอมรับกับทุกภาคส่วน โดยจำเป็นจะต้องตั้งเป็นองค์กรกลางเพื่อกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจทั้งหมด
"ประเทศไทยจำเป็นต้องมีองค์กรกลางในการกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจทั่วประเทศ เพราะปัจจุบันจะหวังเพียงแค่บอร์ดของรัฐวิสาหกิจนั้นๆ กำกับดูแลไม่เพียงพอแล้ว จะต้องมีคนดูแลทั้งระบบและจะต้องเริ่มตั้งแต่วันนี้ เพราะปัญหาภายในรัฐวิสาหกิจทั้งการดำเนินงานและการให้บริการถือเป็นปัญหาที่หนักหน่วง และต้องได้รับการแก้ไขโดยเร็ว" นายสังศิต กล่าว
ขณะเดียวกันทุกพรรคการเมืองจะต้องให้การสนับสนุน และให้ความรู้ ความเข้าใจกับองค์กรรัฐวิสาหกิจทุกแห่งตั้งแต่ระดับบริหาร พนักงาน รวมถึงประชาชนที่ให้บริการ เพื่อเป็นการรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติ และเกิดการพัฒนาประสิทธิภาพอย่างแท้จริง