นพ.ภูมินทร์ ลีธีระประเสริฐ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)เห็นว่าไม่มีความจำเป็นต้องการประกาศปิดโรงเรียนทั่วประเทศเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 เนื่องจากเชื่อว่าจะไม่เกิดประโยชน์มากนัก แต่ให้โรงเรียนในแต่ละพื้นที่พิจารณาถึงความจำเป็นของการปิดทำการเรียนการสอนได้เองตามความเหมาะสมของสถานการณ์การระบาดของโรคในชุมชนก็สามารถประกาศหยุดได้เอง
ส่วนการออกมาตรการที่เข้มงวดกับแหล่งชุมชน เช่น ห้างสรรพสินค้า โรงภาพยนตร์ รถเมล์ ตลอดจนการจัดงานคอนเสิร์ตต่าง ๆ นั้น ขณะนี้ก็ยังเห็นว่าไม่จำเป็นต้องประกาศปิดหรือหยุดการจัดงาน แต่ให้ขึ้นกับการตัดสินใจของสถานประกอบการนั้น ๆ
สำหรับการตัดวงจรการแพร่ระบาดของเชื้อไข้หวัด 2009 นั้น ที่ประชุมครม.เห็นว่าแม้จะเป็นเพียงผู้ป่วยที่มีอาการไข้หวัดธรรมดา ไม่ใช่ไข้หวัด 2009 ก็สามารถหยุดงานหรือหยุดเรียนเพื่อพักรักษาตัวที่บ้าน ซึ่งทางโรงเรียนและหน่วยราชการจะไม่ถือว่าเป็นวันลาป่วย และไม่จำเป็นต้องส่งใบรับรองแพทย์ให้ต้นสังกัด โดยให้เริ่มมีผลตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
ขณะที่กรณีของบริษัทเอกชนให้ขึ้นกับดุลพินิจของแต่ละบริษัท
"ถ้าป่วยแต่ไม่มีไข้ ไม่มีอาการทางปอด เป็นแค่หวัดธรรมดาก็ให้พักอยู่บ้าน ซึ่งโรงเรียนและรัฐบาลจะไม่ถือเป็นวันลา และไม่จำเป็นต้องมีใบรับรองแพทย์"นพ.ภูมินทร์ กล่าว
นพ.ภูมินทร์ กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขยอมรับว่าโรคไข้หวัดใหญ่ 2009 เป็นโรคที่ติดง่ายและมีอันตรายแก่เด็ก ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีน้ำหนักเกินกว่าปกติ และผู้ที่มีโรคประจำตัว ซึ่งเป็นเชื้อที่ทำลายปอดได้ไวกว่าไข้หวัดธรรมดา จึงแนะนำให้ผู้ป่วยที่มีอาการเป็นหวัด เจ็บคอ แม้จะไม่มีไข้ก็ให้รักษาตัวอยู่ที่บ้าน ไม่ควรออกมาในที่ชุมชน
อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้พบว่าสังคมยังมีความสับสนจากแนวทางกการป้องกันตัวเองจากไข้หวัด 2009 ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้กำชับให้กระทรวงสาธารณสุขชี้แจงให้ประชาชนได้รับรู้ข้อมูลที่ถูกต้องเป็นไปในทิศทางเดีวกัน ซึ่งในวันนี้เวลาประมาณ 20.30-22.00 น.นายกรัฐมนตรีและผู้เชี่ยวชาญของกระทรวงสาธารณสุขจะออกทีวีเพื่อชี้แจงให้ประชาชนได้รับทราบข้อมูลและวิธีปฏิบัติตัวที่ถูกต้อง
พร้อมกันนั้นในวันนี้ ครม.อนุมัติงบประมาณ 850 ล้านบาทสำหรับสั่งซื้อวัคซีนไข้หวัดใหญ่ 2009 และยาโอเซลทามิเวีย โดยในส่วนของ 600 ล้านบาทแรกจะใช้จองวัคซีน 2 ล้านโดส ซึ่งคาดว่าจะส่งมอบได้ภายใน 4-5 เดือนข้างหน้า หรือประมาณเดือนพ.ย.-ธ.ค.52 ส่วนอีก 250 ล้านบาทจะสั่งซื้อยาโอเซลทามิเวีย 10 ล้านเม็ดเพื่อใช้กับผู้ป่วย 1 ล้านคน