นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ แถลงผลหารือระหว่าง รมต.ต่างประเทศอาเซียนกับคณะทำงานระดับสูงว่าด้วยกลไกสิทธิมนุษยชนอาเซียน(HLP) ว่า ที่ประชุมฯ เห็นด้วยกับกลไกการจัดตั้งองค์กรสิทธิมนุษยชนอาเซียน ซึ่งองค์กรดังกล่าวไม่เป็นองค์กรของภาครัฐ โดยองค์กรนี้ในประเทศไทยจะประกาศรับสมัครจากบุคคลสาธารณะต่างๆ โดยอาจจะรับนักวิชาการจากภาคเอกชน หรือประชาสังคม
อย่างไรก็ตามแม้จะมีกระแสข่าวว่า กลไกการจัดตั้งองค์กรสิทธิมนุษยชนจะถูกประเทศพม่าคัดค้าน แต่ที่ประชุมฯ และตนเองกลับไม่คิดว่าที่ประชุมฯ จะเกิดปัญหาไม่ลงลอยกัน เพราะเราเห็นพ้องกันที่จะทำให้เสร็จสิ้นในจุดนี้
รมว.ต่างประเทศ กล่าวว่า สถานการณ์สิทธิมนุษยชนต่อพม่านั้นจะไม่มีผลกระทบกับการจัดตั้งองค์กรนี้ เพราะพม่าได้ให้สัตยาบรรณต่อกฎบัตรอาเซียน และเห็นว่ากระบวนการที่จะมีการยกร่างทีโออาร์ที่ได้ตกลงกันจะต้องทำให้เสร็จสิ้นภายในวันพรุ่งนี้(20 ก.ค.) ซึ่งที่ประชุมฯ และตนเองเชื่อว่าจะไม่มีการเบี่ยงเบนข้อตกลงที่มีต่อกันไว้
"ต่อจากนี้ไป กลไกการจัดตั้งองค์กรสิทธิมนุษชนจะต้องมีการติดตามผลจากประเทศสมาชิก เป็นกลไกทำงานของสมาชิกทุกประเทศที่เป็นสมาชิกเต็มของกฎบัตรอาเซียนและข้อจำเป็นที่จะต้องวิเคราะห์หลักกฎบัตรอาเซียน" นายกษิต กล่าว
ดังนั้น ฉันทามติต่อร่างทีโออาร์ เมื่อทำการรับรองในวันนี้(19 ก.ค.) จะเกิดกลไกอย่างไร ตนเองคิดว่าไม่ได้ว่ามากที่สุด ซึ่งเราก็ตกลงคือนำเสนอต่อที่ประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนในเดือน ต.ค.52 โดยจะทำการยกร่างต่อไปในอนาคต
รมว.ต่างประเทศ กล่าวว่า การหารืออย่างเข้มข้นจากผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายจะสามารถระงับข้อพิพาท เพราะอาเซียนมีกลไกเศรษฐกิจ การเมือง และความมั่นคงของสนธิสัญญาไมตรีและความร่วมมือในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้(TAC) ดังนั้นกลไกใหม่ที่สามารถระงับข้อพิพาทจะถูกควบคุมจากกฎบัตรอาเซียนและควบคุมในอนาคต และกลไกนี้จะยึดมั่นใจกฎเกณฑ์การแก้ไขปัญหาในอาเซียนซัมมิท
"ที่ประชุมฯ จึงเห็นด้วยกับผู้เชี่ยวชาญกฎหมายว่ากลไกหลายๆ แบบที่ใช้ในการหารือไกล่เกลี่ยและตั้งอนุญาโตตุลาการ โดยมอบหมายให้กลุ่มนี้ทำงานต่อไป โดยไปดูพื้นที่สีเทา ที่ไม่มีการจัดตั้งกลไกใหม่ๆ โดยหากลไกเพื่อระงับข้อพิพาทได้" นายกษิต กล่าว