รัฐบาลไทย-กัมพูชา ยืนยันยังมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน และจะใช้การเจรจาอย่างสันติวิธีแก้ไขปัญหากรณีพิพาทเกี่ยวกับดินแดนของทั้งสองประเทศ โดยใช้ประโยชน์จากกลไกทวิภาคีที่มีอยู่ และไม่ให้ปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นมาเป็นอุปสรรคต่อการค้าการลงทุนหรือขัดขวางความร่วมมือในสาขาอื่นๆ
"กัมพูชายังคงยืนยันความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นและยึดมั่นต่อความร่วมมือในด้านต่างๆ ที่มีกับไทย และไม่ประสงค์ให้ความเห็นที่ไม่ตรงกันในบางประเด็นบดบังความร่วมมือที่ดีในด้านอื่นๆ" เว็บไซต์สำนักโฆษกประจำทำเนียบรัฐบาล ระบุถึงคำพูดของนายฮอร์ นัมฮง รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.ต่างประเทศและความร่วมมือระหว่างประเทศ กัมพูชา ซึ่งเข้าเยี่ยมคารวะนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในโอกาสเดินทางมาร่วมประชุมคณะกรรมาธิการร่วมไทย-กัมพูชา(Joint Commission-JC) ครั้งที่ 6 ระหว่างวันที่ 4-5 ส.ค.นี้
นายฮอร์ นัมฮง ได้แสดงความขอบคุณรัฐบาลไทยได้ให้ความช่วยเหลือเงินกู้เงื่อนไขผ่อนปรนแก่กัมพูชาเพื่อใช้พัฒนาซ่อมแซมถนนหมายเลข 68 (ช่องจอม-โอเสม็ด-สำโรง-กรอลันห์) นอกเหนือจากโครงการพัฒนาถนน 2 สาย ที่รัฐบาลไทยได้ให้ความช่วยเหลือไปแล้วก่อนหน้านี้
นอกจากนี้ นายฮอร์ นัมฮง ได้หยิบยกประเด็นที่ทางกัมพูชาประสงค์ให้ไทยเปิดจุดผ่านแดนเพิ่มที่ปอยเปต ซึ่งนายกรัฐมนตรีกล่าวว่าระหว่างการเดินทางเยือนกัมพูชาได้รับทราบเรื่องนี้จากนักธุรกิจไทยที่ประกอบธุรกิจที่กัมพูชาเช่นกัน ซึ่งฝ่ายไทยจะรับไปพิจารณา แต่ในเบื้องต้นเห็นว่าการเปิดจุดผ่านแดนไทยและกัมพูชาในบริเวณที่ไม่มีความขัดแย้งเรื่องหลักเขตแดนน่าจะเป็นประโยชน์แก่ประชาชนทั้งสองฝ่ายมากกว่า โดยเห็นว่าน่าจะลงมาทางใต้จากอรัญประเทศเล็กน้อย
ส่วนกรณีพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลที่ไทยกัมพูชาอ้างสิทธิทับซ้อนจะมีการหารือระหว่างการประชุม JC ในวันพรุ่งนี้ ซึ่งทางการกัมพูชาประสงค์ให้มีการเจรจาที่มาจากความเข้าใจอันดีต่อกันและในฐานะมิตรประเทศ(friendship basis) เช่นเดียวกันกับกรณีพระวิหาร ขณะที่นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่าฝ่ายไทยจะดำเนินการตามความถูกต้องตามกฎหมาย และการดำเนินการกรณีพระวิหารรัฐบาลไทยจะต้องใช้กระบวนการทางรัฐสภา
ทั้งสองฝ่ายเชื่อมั่นว่า การประชุม JC ครั้งที่ 6 ในวันพรุ่งนี้จะช่วยสานต่อความร่วมมือและผลักดันให้ประเด็นต่างๆ ที่ได้มีการหารือไว้กับผู้นำกัมพูชาระหว่างการเยือนของนายกรัฐมนตรีในเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมามีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเป็นประโยชน์แก่ประชาชนทั้งสองประเทศ ซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างมีความยินดีที่จะมีลงนามในความตกลงว่าด้วยการโอนตัวผู้ต้องคำพิพากษาและความร่วมมือในการบังคับใช้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาในคดีอาญา(Agreement between the Kingdom of Thailand and the Kingdom of Cambodia on the Transfer of Sentenced persons and Co-operation in the Enforcement of Penal Sentences)