ผลสำรวจของเอแบคโพล พบรูปแบบการใช้ชีวิตคนไทยในสภาวะเศรษฐกิจถดถอยมีแนวโน้มมุทำงานหนักหวังพออยู่พอกิน ปรับรูปแบบการใช้ชีวิตพอเพียงมากขึ้น ประหยัดค่าใช้จ่ายมากขึ้น
ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยความสุขชุมชน มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ หรือ เอแบคโพล เปิดเผยผลวิจัยเชิงสำรวจเรื่อง รูปแบบการใช้ชีวิตของคนไทยบนวิถีชีวิตพอเพียง และความคิดต่อปัญหาทุจริตคอรัปชั่นในโครงการชุมชนพอเพียง กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนใน 17 จังหวัดของประเทศได้แก่ กรุงเทพมหานคร อุตรดิตถ์ สุโขทัย เพชรบูรณ์ เชียงใหม่ ปทุมธานี เพชรบุรี ฉะเชิงเทรา กาญจนบุรี ชลบุรี หนองบัวลำภู สกลนคร ศรีสะเกษ ขอนแก่น ระนอง พัทลุง และสุราษฎร์ธานี จำนวนทั้งสิ้น 1,143 ครัวเรือน ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 1 — 5 กันยายน 2552
จากสภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยในการรับรู้ของสาธารณชนคนไทยภายในประเทศ ส่งผลทำให้ รูปแบบการใช้ชีวิตบนวิถีชีวิตพอเพียงมีการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจ โดยผลสำรวจพบว่า แนวโน้มประชาชนเพิ่มสูงขึ้นจากร้อยละ 81.3 ในเดือนมิถุนายน มาอยู่ที่ ร้อยละ 88.0 ในการสำรวจล่าสุดที่ประชาชนรักษาสิ่งของเครื่องใช้ให้คงสภาพใช้งานได้ยาวนาน เช่นเดียวกัน กับความมุ่งทำงานเพื่อให้พออยู่พอกินและมีเงินเก็บไว้ใช้ยามจำเป็นเพิ่มสูงขึ้นจากร้อยละ 75.5 มาอยู่ที่ร้อยละ 84.0
นอกจากนี้ ประชาชนที่คิดว่าเป็นคนมุมานะทำงานหนักมากกว่าคนอื่นๆ ที่อยู่รอบตัวเพิ่มสูงขึ้นจากร้อยละ 73.1 มาอยู่ที่ ร้อยละ 81.4 และประชาชนที่คิดว่าเป็นคนใช้จ่ายรัดกุมและหารายได้เป็นขั้นเป็นตอนเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 72.8 มาอยู่ที่ร้อยละ 80.4 ที่น่าพิจารณาคือ ประชาชนประกอบอาชีพที่หลากหลายเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 45.9 มาอยู่ที่ร้อยละ 55.4
อย่างไรก็ตามที่น่าเป็นห่วงคือ ประชาชนที่คิดอยากจะซื้ออะไรก็ซื้อ เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 32.1 มาอยู่ที่ร้อยละ 39.3 ในขณะที่บอกว่าหลังซื้อสินค้ามาแล้วพบว่า ไม่ค่อยได้ใช้ประโยชน์เท่าใดนัก จากร้อยละ 22.7 มาอยู่ที่ร้อยละ 27.6 และในส่วนของประชาชนที่บอกว่าถ้าไม่มีรายได้เดือนนี้จะต้องเดือดร้อนพึ่งพาคนอื่นซึ่งลดลงจากครั้งก่อน คือ ร้อยละ 35.4 มาอยู่ที่ร้อยละ 25.1
"จากงานวิจัยนี้ พบว่า คนไทยมีการปรับรูปแบบการใช้ชีวิตในทิศทางที่ดีขึ้นหลายตัวชี้วัด แต่มีสัญญาณที่ไม่ค่อยจะสู้ดีเท่าไหร่นัก เพราะเมื่อสภาวะเศรษฐกิจของประเทศเริ่มฟื้นตัวคนไทยก็เริ่มมีพฤติกรรมซื้อสินค้าที่คิดอยากจะซื้ออะไรก็ซื้อทันที และเมื่อซื้อมาแล้วก็ไม่ได้ใช้ประโยชน์จากสินค้าที่ซื้อมาอย่างเต็มที่ ซึ่งอาจจะก่อให้เกิดปัญหาต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจทั้งระดับครัวเรือนและระดับประเทศในรอบใหม่ได้" ดร.นพดล กล่าว
ผอ.ศูนย์วิจัยความสุขชุมชนกล่าวถึงผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนกรณีการทุจริตคอรัปชั่นเป็นเรื่องปกติธรรมดาในการทำธุรกิจ ที่พบว่ามีแนวโน้มลดลงจากการสำรวจเมื่อปีที่แล้ว จากร้อยละ 67.4 ในเดือนเมษายนปี 2551 มาอยู่ที่ร้อยละ 55.4 ในการสำรวจล่าสุด
สำหรับความคิดเห็นของประชาชนต่อการดำเนินโครงการชุมชนพอเพียงนั้น พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่คือร้อยละ 74.7 เห็นว่าควรรัฐบาลควรดำเนินโครงการชุมชุมชนพอเพียงต่อไป ถึงแม้ว่าเกินกว่าครึ่งหนึ่งหรือร้อยละ 58.2 จะรู้สึกผิดหวังต่อรัฐบาลภายหลังมีข่าวอื้อฉาวเกี่ยวกับโครงการชุมชนพอเพียง
ในขณะที่เมื่อสอบถามความคิดเห็นของประชาชนกรณีรัฐบาลควรออกมาขออภัยจากประชาชนเกี่ยวกับโครงการชุมชนพอเพียงหรือไม่นั้น พบว่ามากกว่าครึ่งหนึ่งหรือร้อยละ 61.9 เห็นว่ารัฐบาลจำเป็นที่ควรออกมาขอโทษประชาชน ในขณะที่ร้อยละ 38.1 เห็นว่าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น