รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาจะนำเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)วันนี้พิจารณาร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ.... ซึ่งจะมีการกำหนดหลักเกณฑ์ในการพิจารณารายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมสำหรับโครงการหรือกิจกรรมที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรง โดยจะมอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นผู้รับผิดชอบในการปฏิบัติการให้เป็นไปตามกฎหมายเป็นหน่วยงานเจ้าของเรื่อง
สาระสำคัญของร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว จะกำหนดให้ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมสามารถประกาศกำหนดประเภทของโครงการหรือกิจกรรมที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรง รวมกำหนดหลักเกณฑ์ในการจัดทำรายงานวิเคราะห์ผลกระทบ โดยประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ และสุขภาพของประชาชนในชุมชน และจัดให้มีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย โดยมีคณะกรรมการชำนาญการเป็นผู้พิจารณารายงานการวิเคราะห์
พร้อมทั้งกำหนดให้องค์กรอิสระต้องรายงานความเห็นภายใน 90 วัน และกรณีที่องค์กรอิสระไม่ให้ความเห็นชอบหรือความเห็นแตกต่าง ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(สผ.) เสนอความเห็นกลับมาอีกครั้งต่อคณะกรรมการชำนาญการฯและให้ความเห็นนี้ให้เป็นที่สุด
รายงานข่าว ระบุว่า สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สภาพัฒน์) เห็นชอบในหลักการของร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ และมีความเห็นเพิ่มเติมว่าเพื่อให้ร่าง พ.ร.บ.มีความชัดเจนในการนำไปปฏิบัติ เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาว่าควรให้พิจารณาแนวทางการจัดตั้งองค์กรอิสระด้านสิ่งแวดล้อม โดยไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของหน่วยงานรัฐ เพื่อให้องค์กรดังกล่าวมีความเป็นอิสระอย่างแท้จริง เหมาะสมตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ
พร้อมทั้ง แยกบทบาทหน้าที่ของผู้แทนขององค์กรอิสระ ซึ่งทำหน้าที่ตรวจสอบรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ออกจากการเป็นผู้จัดทำรายงานดังกล่าวอย่างเด็ดขาด โดยกำหนดเงื่อนไขของผู้แทนในองค์กรอิสระด้านสิ่งแวดล้อมไม่ให้สามารถเป็นผู้จัดทำรายการดังกล่าวได้ในขณะที่ดำรงสถานะของผู้แทนฯ
รวมทั้งการเรียกเก็บค่าตอบแทนจากเจ้าของโครงการหรือกิจกรรมเพื่อเป็นค่าตอบแทนให้แก่องค์กรอิสระนั้น ควรพิจารณาความรอบคอบโดยอาจพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์การเรียกเก็บผลตอบแทนจากภาคเอกชน และกำหนดสัดส่วนการสมทบเงินสนับสนุนจากภาครัฐที่ชัดเจน รวมทั้งพิจารณาความเหมาะสมของการเรียกเก็บตามประเภทและขนาดของโครงการหรือกิจกรรมที่อาจะมีผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรง ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความเชื่อถือ ความโปร่งใส และป้องกันปัญหาคงามขัดแย้งด้านผลประโยชน์
สภาพัฒน์ ยังเห็นว่า ควรกำหนดแนวทางให้องค์การอิสระด้านสิ่งแวดล้อมสามารถพิจารณารายงานการวิเคราะห์ฯ ควบคู่ไปกับการพิจารณาของคณะกรรมการผู้ชำนาญการด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อลดระยะเวลาในการพิจารณาโครงการ
ขณะที่กระบวนการรับฟังของประชาชนและผู้มีส่วนได้เสีย เห็นควรให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ พิจารณายกร่างหลักเกณฑ์การรับฟังความคิดเห็น โดยยึดหลักความโปร่งใส การเปิดเผยข้อมูล และเปิดกว้างให้ผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วนได้มีส่วนร่วม โดยใช้ประสบการณ์และปัญหาอุปสรรคในการรับฟังความคิดเห็นของโครงการต่างๆ ที่ผ่านมาประกอบการพิจารณาด้วย เพื่อให้สามารถนำผลการรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วน้สียไปเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจได้อย่างแท้จริง มีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด
และ เห็นควรให้กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ และกระทรวงสาธาณสุข เร่งกำหนดขอบเขตหรือนิยามขนาดและประเภทโครงการ หรือกิจการที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และสุขภาพของประชาชนอย่างรุนแรง รวมทั้งหลักเกณฑ์ วิธีการ ขั้นตอน และแนวทางปฏิบัติในการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตลอดจนการบูรณาการการประเมินผลกระทบด้านสุขภาพ (HIA)ไว้ในรายงานดังกล่าว เพื่อรองรับการดำเนินงานตามาตรา 51 วรรค 1 ของร่างพ.ร.บ.ฯ
ด้านแหล่งข่าวจากกระทรวงสาธารณสุข ให้ความเห็นว่า การที่กฎหมายฉบับนี้กำหนดให้มีองค์กรอิสระหลายองค์กรนั้น อาจทำให้เกิดปัญหาในทางปฏิบัติได้ จึงเสนอให้มีองค์กรอิสระตามกลุ่มประเภทของโครงการหรือกิจกรรมที่ประกาศตามมาตรา 51 วรรค 1 เพื่อให้ได้องค์ประกอบด้านองค์กรเอกชน และสถาบันการศึกษาที่สอดคล้องกับประเภทโครงการหรือกิจกรรมที่ต้องพิจารณา รวมทั้งควรกำหนดแนวทางในการคัดเลือกผู้แทนขององค์กรเอกชนและสถาบันการศึกษาและแนวทางการพิจารณาโครงการหรือกิจกรรมไว้ด้วย
ในร่างมาตรา 51 วรรค 3 นิติบุคคลหรือคณะบุคคลที่มีวัตถุประสงค์หรือกิจกรรมที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการคุ้มครอง สงวน อนุรักษ์ หรือ ส่งเสริมและรักษาสิ่งแวดล้อมนั้น เสนอให้กำหนดข้อความให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ คือ มีวัตถุประสงค์หรือกิจกรรมเกี่ยวข้องโดยตรงด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพ
กรณีที่องค์กรอิสระด้านสิ่งแวดล้อมได้จดทะเบียนแล้ว และให้ความเห็นที่ไม่เป็นกลางหรือไม่เหมาะสม ให้อำนาจรัฐมนตรีในการเพิกถอนการจดทะเบียนได้นั้น เสนอให้กำหนดเป็นเงื่อนไขหรือมีกระบวนการพิจารณาที่ชัดเจนว่าความเห็นอย่างไรที่ไม่เป็นกลางหรือไม่เหมาะสม รวมทั้งกรณีที่องค์กรอิสระฯ ไม่ได้ให้ความเห็นภายใน 90 วัน จำนวนกี่ครั้งจะเพิกถอนการจดทะเบียนหรือไม่ ทั้งนี้ควรกำหนดไว้ในกฏกระทรวงเพื่อเป็นแนวทางในการพิจารณาตามเงื่อนไขที่กำหนดมิใช้ดุลยพินิจของรัฐมนตรีเท่านั้น
ขณะที่กระทรวงอุตสาหกรรม พิจารณาแล้วเห็นชอบกับหลักการร่าง พ.ร.บ.นี้ และมีข้อสังเกตในร่างมาตรา 51 วรรค 2 ว่า หากสามารถลดกรอบระยะเวลาลงให้น้อยกว่า 90 วันได้ก็จะเอื้อประโยชน์ต่อการลงทุนอีกทางหนึ่ง