ปธ.กกต.ยันไม่กดดัน รับเห็นพ้องเสียงข้างมากอนุกก.ยกคำร้องคดีเงินบริจาคปชป.

ข่าวทั่วไป Friday December 18, 2009 13:02 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ยืนยันว่า ไม่กดดันและไม่หนักใจต่อมติเสียงข้างมากของ กกต.ที่ส่งเรื่องมาให้ตนในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมืองพิจารณาให้ความเห็นต่อสำนวนเรื่องเงินบริจาคเข้าพรรคประชาธิปัตย์จำนวน 258 ล้านบาท

พร้อมยอมรับว่า ในที่ประชุม กกต.เมื่อวานนี้ตนเองมีความเห็นไปในทิศทางเดียวกับเสียงข้างมากของคณะอนุกรรมการสืบสวนสอบสวนฯ ที่ให้ยกคำร้องสำนวนคดีดังกล่าว และไม่ควรส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณายุบพรรค โดยยืนยันว่าความเห็นที่ให้ยกคำร้องนั้นได้พิจารณาจากหลักฐานและสำนวนคดีอย่างละเอียดรอบคอบแล้ว ไม่ได้เป็นการช่วยเหลือพรรคประชาธิปัตย์แต่อย่างใด

"ความเห็นของผมในการลงมติ เป็นไปตามข่าว คือ ยกคำร้อง แต่ในเมื่อ กกต. อีก 3 คนไม่เป็นผู้ตัดสินใจ แต่ท่านจะให้ผมมาตัดสินใจในฐานะนายทะเบียนก็ไม่เป็นไร หากผมจะเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจก็ต้องมีเหตุผลของผม หากเรื่องนี้ผมมีความเห็นอย่างไรออกไป ถือว่าเรื่องนี้ก็ต้องจบ" นายอภิชาต กล่าว

รายงานข่าวระบุว่า การออกเสียง 3 ต่อ 1 ต่อ 1 ของที่ประชุมกกต.ต่อกรณีเงินบริจาค 258 ล้านบาทวานนี้ ที่ออกมาให้นายทะเบียนพรรคการเมืองต้องทำความเห็นก่อนและนำกลับมาเข้าสู่ที่ประชุม กกต.อีกครั้งนั้น เป็นเสียงส่วนใหญ่ 3 เสียง ที่มาจากนายประพันธ์ นัยโกวิท, นายสมชัย จึงประเสริฐ และนางสดศรี สัตยธรรม ส่วน 1 เสียงที่ให้ยกคำร้อง มาจากนายอภิชาต และอีก 1 เสียงที่เห็นว่ามีความผิดและให้ส่งฟ้องศาล คือ นายวิสุทธิ์ โพธิแท่น

ด้านนางสดศรี สัตยธรรม กกต.ยอมรับว่า เสียงข้างมากของคณะอนุกรรมการสืบสวนฯ ออกมาว่าให้ยกคำร้องในสำนวนคดีเงินบริจาค 258 ล้านบาท แต่เหตุที่ที่ประชุม กกต.วานนี้ยังไม่ลงมติต่อสำนวนคดีดังกล่าว เนื่องจากยังมีความเห็นไม่ตรงกันเรื่องข้อกฎหมายจึงจำเป็นต้องมีการโหวตในที่ประชุม

ทั้งนี้ความเห็นข้างมากออกมาว่าจะต้องให้ประธานกกต.ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง กลับไปทำความเห็นมาก่อน แล้วจึงนำเข้าสู่ที่ประชุมอีกครั้ง ซึ่งเป็นไปตามขั้นตอนทางกฎหมายใน พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ปี 50 ที่ระบุว่า กกต.จะต้องให้ความเห็นชอบต่อความเห็นของนายทะเบียนพรรคการเมืองด้วย จากก่อนหน้านี้ใน พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าวปี 41 ให้อำนาจนายทะเบียนพรรคการเมืองสามารถให้ความเห็นยุบพรรค หรือถอดถอนได้

"พรบ.พรรคการเมืองให้อำนาจนายทะเบียนไว้มาก ตั้งแต่กฎหมายพรรคการเมืองปี 41 ที่ให้อำนาจยุบพรรค เพิกถอน อำนาจของนายทะเบียนระบุชัดตามกฎหมาย แต่กฎหมายในปี 50 ที่แก้ไขบางส่วนให้ กกต.ต้องให้ความเห็นชอบต่อความเห็นของนายทะเบียนพรรคการเมืองด้วย" นางสดศรี กล่าว

ทั้งนี้ไม่ว่าความเห็นของนายทะเบียนพรรคการเมืองจะออกมาทางหนึ่งทางใด ก็จะต้องนำกลับมาเข้าสู่ที่ประชุม กกต.เพื่อให้ความเห็นชอบด้วยก่อนที่จะดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไป

"เรื่องนี้เราเห็นว่านายทะเบียนจะต้องให้ความเห็นต่อ กกต.ก่อน ขณะที่ กกต.บางคนมองว่าไม่ต้องให้ความเห็น ก็เลยต้องโหวตกัน ซึ่งเสียงข้างมากก็ออกมาว่านายทะเบียนต้องให้ความเห็นก่อน เมื่อนายทะเบียนเห็นอย่างไรแล้ว นายทะเบียนโดยความเห็นชอบของ กกต.ก็ดำเนินการต่อไป" นางสดศรี ระบุ

นางสดศรี ยังเสนอให้ประธาน กกต.เรียกประชุมเพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ตรงกันในข้อกฎหมายและเกิดความชัดเจนมากยิ่งขึ้น เพราะหากให้สัมภาษณ์ในลักษณะความเห็นที่แตกต่างกันก็จะเกิดความสับสนขึ้น และไม่เป็นผลดีต่อกกต.เอง ดังนั้นจึงเสนอให้เรียกประชุม กกต.โดยเร็วในสัปดาห์หน้า


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ