ประชาชนหลายพันคนได้เดินทางมาร่วมพิธีครบรอบ 5 ปีเหตุการณ์คลื่นยักษ์สึนามิที่จังหวัดอาเจะห์ ประเทศอินโดนีเซียในวันนี้ เพื่อรำลึกถึงผู้เสียชีวิตจากคลื่นสึนามิที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม ปี 2547 ซึ่งนอกเหนือจากชาวอาเจะห์แล้ว ผู้ร่วมงานยังประกอบไปด้วยผู้รอดชีวิต เด็กกำพร้า อดีตกบฏแบ่งแยกดินแดน กลุ่มผู้บริจาคชาวต่างชาติ เจ้าหน้าที่ฝ่ายสังคมและสิทธิมนุษยชน
พิธีดังกล่าวมีขึ้นที่อ่าวอูลี ลาเฮ ซึ่งถูกขนานนามว่าเป็น "อาเจะห์ สึนามิ กราวด์ ซีโร่" หรือ ศูนย์กลางการเกิดภัยพิบัติคลื่นยักษ์สึนามิในจังหวัดอาเจะห์ ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองบันดา อาเจะห์
เหตุแผ่นดินไหวรุนแรง 9.3 ริกเตอร์ที่เกิดบริเวณนอกชายฝั่งทางด้านตะวันตกเกาะสุมาตราของอินโดนีเซีย เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม ปี 2547 ส่งผลให้เกิดคลื่นยักษ์สึนามิที่มีความสูงกว่า 30 เมตร ซัดเข้าถล่มชายฝั่งของหลายระเทศที่ตั้งอยู่รายรอบมหาสมุทรอินเดียกัน ทำให้มีผู้เสียชีวิตและสูญหายราว 230,000 คน โดยอินโดนีเซีย ไทย ศรีลังกา และอินเดีย เป็น 4 ประเทศที่ได้รับความเสียหายหนักที่สุดในครั้งนั้น และถือเป็นหนึ่งในภัยธรรมชาติครั้งรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ
ทั้งนี้ แม้นักวิเคราะห์จากเอเอ็มพี แคปิตอล อินเวสเตอร์ส เคยประเมินไว้ว่าผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจากภัยพิบัติคลื่นสึนามิจะมีน้อยกว่าวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นเนื่องจากการแพร่ระบาดของโรคซาร์ส แต่เหตุการณ์คลื่นยักษ์สึนามิได้สร้างความเจ็บปวดให้กับผู้สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักอย่างไม่มีวันลืม
เนอร์ฮายาตี มุสตาฟา หญิงวัย 52 ปี ที่เดินทางมาร่วมพิธีครบรอบ 5 ปีคลื่นยักษ์สึนามิในครั้งนี้ เธอได้สูญเสียบุตรชายวัย 8 ขวบจากเหตุการณ์คลื่นยักษ์ โดยเธอกล่าวด้วยน้ำตานองหน้าว่าขอให้ดวงวิญญาณของลูกชายได้พักสงบ
อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์คลื่นยักษ์สึนามิในครั้งนั้นเป็นมุลเหตุสำคัญที่ทำให้รัฐบาลอินโดนีเซียและกลุ่มเคลื่อนไหวเพื่อปลดปล่อยอาเจะห์ (จีเอเอ็ม) ยอมทำข้อตกลงเพื่อยุติการสู้รบในจังหวัดอาเจะห์ที่ยืดเยื้อมาหลายสิบปี สำนักข่าวเกียวโดรายงาน