ปลัดกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) ยืนยันไม่มีส่วนรู้เห็นกรณีคณะกรรมการสอบสวนการทุจริตโครงการไทยเข้มแข็งฯ ซึ่งมี นพ.บรรลุ ศิริพานิช เป็นประธาน ระบุถึงความไม่ชอบมาพากล แต่อาจเกิดความบกพร่องเนื่องจากมีข้อจำกัดเรื่องกรอบเวลาที่สำนักงบประมาณกำหนดไว้
"กระทรวงสาธารณสุขจึงต้องทำงานอย่างรวดเร็วแข่งกับเวลา โดยนำโครงการลงทุนขนาดใหญ่หรือโครงการเมกะโปรเจ็คส์เดิมของกระทรวงสาธารณสุขมาปรับใช้ในโครงการไทยเข้มแข็ง เนื่องจากเป็นเรื่องเดียวกัน เพื่อให้ทันต่อการขอเม็ดเงินงบประมาณและปรับให้เข้ากับนโยบายของรัฐบาล" นพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัด สธ.กล่าว
โดยช่วงบ่ายวันนี้ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) นำทีมผู้บริหาร พร้อมด้วยตัวแทนสำนักงานงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สภาพัฒน์) ได้เดินทางเข้าพบนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการลงทุนโครงการไทยเข้มแข็งจำนวน 8.6 หมื่นล้านบาท หลังจากคณะกรรมการสอบสวนฯ ชี้ว่าโครงการดังกล่าวมีความไม่ชอบมาพากล พร้อมระบุเป็นความรับผิดชอบของนักการเมือง 4 ราย รวมถึงข้าราชการระดับสูงทั้งในอดีตและปัจจุบันอีก 8 ราย
"ผมไม่ได้ทำอะไรทุจริต ในส่วนของผมอาจจะบกพร่อง...ผมยังดูหน้าคนได้อย่างสง่าผ่าเผย" นพ.ไพจิตร์ กล่าว
ปลัด สธ.กล่าวว่า การเข้าพบครั้งนี้เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงให้นายกรัฐมนตรีรับทราบว่าสถานพยาบาลในสังกัดของกระทรวงฯ ไม่ได้รับการพัฒนามากว่า 10 ปี ทั้งการก่อสร้าง การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน กำลังคน และกระทรวงฯ พร้อมขอรับทราบนโยบายเพื่อเดินหน้าโครงการต่อไป
"ขอโอกาสนำเรียนข้อมูลโครงการไทยเข้มแข็งของกระทรวงสาธารณสุขทั้งหมดว่ามีวิธีคิด วิธีดำเนินการอย่างไร ซึ่งทุกฝ่ายเห็นผลประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง แต่วิธีคิดอาจแตกต่างกันบ้างตามภูมิหลังของการทำงานแต่ละคน" นพ.ไพจิตร์ กล่าว
ปลัด สธ.กล่าวว่า สิ่งที่ทำอยู่มุ่งเพื่อประโยชน์ของประชาชนให้ได้รับบริการที่ดี มีสุขภาพที่ดีขึ้น ที่สำคัญกระทรวงฯ จะจัดทำแผนพัฒนาระบบบริการสาธารณสุขให้ชัดเจน โดยมีผู้แทนจากภายนอกเข้ามาร่วมด้วย เช่น สำนักงานประมาณ สภาพัฒน์ เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปตามแผน ส่วนการจัดซื้อจัดจ้างให้แต่ละพื้นที่ดำเนินการ ส่วนกลางไม่มีหน้าที่เข้าไปเกี่ยวข้อง
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้ขอให้ทบทวน ปรับลด และยกเลิกโครงการให้เหมาะสมกับแต่ละพื้นที่ ซึ่งทางกระทรวงฯ จะรีบกลับไปดำเนินการโดยเร็วที่สุด