นายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังอุปทูตซาอุดิอาระเบีย เดินทางเข้าพบนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ว่า นายกรัฐมนตรีได้ให้ความมั่นใจต่อถึงการเร่งเดินหน้าสะสางคดีต่างๆ ให้แก่ประเทศซาอุฯ ว่าจะดำเนินการโดยยึดหลักของกระบวนการยุติธรรม
พร้อมยืนยันว่าการที่อุปทูตซาอุฯ เดินสายเข้าพบ นายชวรัตน์ ชาญวีระกูล รมว.มหาดไทย และนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รมว.ยุติธรรมนั้น ไม่ได้เป็นการเข้ามาแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมภายในของไทย แต่ถือเป็นสิทธิที่อุปทูตสามารถสอบถามความคืบหน้าของคดีความต่างๆ ของประเทศได้
"นายกรัฐมนตรีได้ให้ความมั่นใจว่าคดีต่างๆ จะดำเนินอยู่บนหลักกระบวนการยุติธรรม และหลักฐานที่มี...เป็นเรื่องปกติที่อุปทูตจะเข้ามารับฟังความคืบหน้าของคดี และรายงานกลับไปยังประเทศเขา" โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว
ส่วนความกังวลต่อกรณีที่อายุความในคดีที่นักธุรกิจซาอุฯ ถูกอุ้มตัว ซึ่งจะหมดอายุความในวันที่ 12 ก.พ.53 นั้น นายปณิธาน กล่าวว่า เรื่องนี้ทางอัยการจะพิจารณาในรายละเอียดต่อไป
อนึ่ง วันพรุ่งนี้(12 ม.ค.) อัยการสูงสุดจะพิจารณาว่าจะสั่งฟ้อง พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 กับพวกในคดีอุ้มนายมูฮัมหมัด อัลรูไวลี่ นักธุรกิจชาวซาอุดีอาระเบียหรือไม่
นายปณิธาน ยังปฏิเสธถึงกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้รับเลือกให้เป็นคณะกรรมการผังเมืองของประเทศซาอุดิอาระเบียว่า ไม่น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลซาอุฯ เพราะถือว่าคดีความต่างๆ เกิดขึ้นมาในหลายรัฐบาลแล้ว อีกทั้งมั่นใจว่ารัฐบาลชุดนี้มีการดำเนินการที่คืบหน้าต่อคดีต่างๆ ของซาอุฯ มากกว่ารัฐบาลอื่น
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การดำเนินคดีดังกล่าว รัฐบาลได้ย้ำกับอัยการสูงสุดแล้วว่าให้ดำเนินคดีอย่างตรงไปตรงมา และจะไม่ให้มีการเข้าไปแทรกแซงคดีความ ซึ่งอัยการสูงสุดยืนยันว่าไม่ได้มีความกังวลหรือได้รับแรงกดดันใดๆ โดยรัฐบาลได้ชี้แจงให้อุปทูตซาอุฯ รับทราบและเข้าใจว่ารัฐบาลไม่สามารถเข้าไปแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมได้
ส่วนกรณีที่คดีดังกล่าวยังไม่มีความคืบหน้านั้น นายกรัฐมนตรี ยอมรับว่า ส่วนหนึ่งเป็นเพราะมีนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่เข้าไปเกี่ยวข้อง จึงทำให้คดีความยืดเยื้อ แต่รัฐบาลยืนยันที่จะต้องการฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับซาอุฯ ต่อไป