สวนดุสิตโพล เผยผลสำรวจความเห็นประชาชน ในกรุงเทพฯและปริมณฑล จำนวน 1,468 คน ระหว่างวันที่ 18-20 มี.ค.53 จากการที่กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) หรือกลุ่มเสื้อแดงมีการรวมตัวกันเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลยุบสภา เริ่มตั้งแต่วันที่ 12 มี.ค.53 เป็นต้นมา เพื่อกดดันรัฐบาล โดยการกระตุ้น/ยั่วยุ ให้สถานการณ์ร้อนแรงขึ้นทั้งในเขต กทม. ปริมณฑล โดยพบว่า การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง ในภาพรวมจากวันแรกถึงวันนี้ ส่วนใหญ่ 31.52% เห็นว่า รัฐบาลมีความอดทนและสามารถแก้ปัญหาได้ดี รองลงมาคือ ไม่รุนแรงอย่างที่คิด ในภาพรวมถือว่าอยู่ในความเป็นระเบียบเรียบร้อยดี , หากการชุมนุมเป็นอย่างนี้ต่อไปอาจได้รับการสนับสนุน/ยอมรับจากประชาชน , เป็นการเคลื่อนไหวที่สามารถเรียกร้องความสนใจจากสื่อต่างๆทั่วโลกได้ , รู้สึกเบื่อ ทำให้ไม่ได้รับความสะดวกในการเดินทางและยังต้องคอยติดตามข่าวสารตลอดเวลา และแกนนำเสื้อแดงให้ความร่วมมือกับ จนท.ของรัฐได้ดี โดยเฉพาะการแจ้งข่าวหรือ บอกให้ทราบล่วงหน้าถึงการเคลื่อนไหวในการชุมนุม
ส่วนจุดแข็ง" ของการชุมนุมครั้งนี้ ประชาชนส่วนใหญ่ 40.43% มองว่าเพราะมีอดีตนายกฯทักษิณ ที่คอยกระตุ้นและพูดให้กำลังใจเพื่อให้มีการชุมนุมต่อไป รองลงมา ประเด็นในการเรียกร้องชัดเจน คือ ต้องการให้นายกฯ อภิสิทธิ์ยุบสภา 29.17% แกนนำของแต่ละพื้นที่สามารถรวบรวมมวลชนให้มาเข้าร่วมชุมนุมได้มากตามเป้าหมาย 16.18% และมีการวางแผนอย่างเป็นระบบและรัดกุม / ทีมรักษาความปลอดภัยทำงานได้ดี 14.22%
และจุดอ่อน" ของการชุมนุมครั้งนี้ประชาชนเห็นว่า แกนนำไม่เข้มแข็ง /เกิดความแตกแยกทางความคิดระหว่างแกนนำด้วยกันเอง 37.03% รอลงมา เหตุผลสนับสนุนที่ใช้เรียกร้องให้นายกฯอภิสิทธิ์ยุบสภายังอ่อนเกินไป 25.20% การนำเลือดของกลุ่มผู้ชุมนุมมาใช้ในทางที่ไม่เหมาะสม ทำให้สังคมวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆนาๆ 19.56% และหากการชุมนุมยืดเยื้อต่อไปจะส่งผลให้กลุ่มผู้ชุมนุมเกิดความอ่อนล้าและอยากกลับบ้านส่งผลให้จำนวนผู้ชุมนุมลดลง 18.21%
สำหรับบทเรียนของการชุมนุมครั้งนี้ที่จะมีผลต่อการชุมนุมในครั้งต่อไป ส่วนใหญ่ 56.11% เห็นว่าทั้งฝ่ายรัฐบาลและเสื้อแดงสามารถนำบทเรียนที่ได้จากครั้งนี้ไปปรับใช้หากมีการชุมนุมเกิดขึ้นอีก รองลงมา 23.63% ส่งผลให้ประชาชนมีการกลั่นกรองข้อมูลข่าวสารที่ดีก่อนที่จะด่วนสรุปหรือตัดสินใจ ไม่ตื่นตระหนกกับข่าวที่ออกมา และหากมีการชุมนุมขึ้นอีก แกนนำจะต้องมีการกำหนดวัตถุประสงค์ในการเรียกร้องที่ชัดเจน สมเหตุสมผล
อย่างไรก็ตาม ประชาชนมากถึง 74.78% เห็นด้วยที่จะมีการเจรจาเพื่อยุติการชุมนุม เพราจะได้ไม่ต้องมาเห็นคนไทยทะเลาะกัน ,บ้านเมืองจะได้สงบสุข ประชาชนคลายความกังวลใจ,นักการเมืองทำงานได้เต็มที่ มีเพียง 10.43%ไม่เห็นด้วย เพราะ เจรจาไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะต่างฝ่ายต่างมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
โดยประชาชนคิดว่าควรเจรจาเพื่อที่จะได้ข้อยุติและเป็นที่พอใจกันทั้ง 2 ฝ่าย โดยนำความต้องการของทั้ง 2 ฝ่ายมาเจรจาตกลงกัน การเจรจาด้วยเหตุและผล ประนีประนอมกัน และ ต้องคำนึงถึงประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นสำคัญ แต่ประชาชนส่วนใหญ่ ยังมองไม่เห็นว่าจะมีใครที่เข้ามาเป็นตัวกลางในการเจรจาได้ หรือ ควรเป็นผู้มีอำนาจของแต่ละฝ่ายมาเจรจากัน หรือให้สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และอื่นๆ เช่น ประธานวุฒิสภา ผู้ใหญ่ในบ้านเมือง สื่อมวลชน ตัวแทนภาคประชาชน ทั้งนี้เป็นที่น่าสังเกตว่า ประชาชนถึง 54.76% คิดว่าการเจรจาไม่น่าจะเป็นไปได้หรือ เพราะ ต่างฝ่ายต่างก็มีจุดยืนเป็นของตนเอง เจรจาไปก็คงเสียเวลาเปล่า รองลงมาค่อนข้างเป็นไปได้ 24.35% เพราะ ประชาชนส่วนใหญ่ต้องการที่จะเห็นบ้านเมืองสงบสุขและอยากให้มีการเจรจาเกิดขึ้น และ คงเป็นไปไม่ได้ 16.54% เพราะ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบานปลายไปมากจนยากที่จะแก้ไขหรือหาข้อยุติลงได้ มีเพียง 4.35% ที่คิดว่าเป็นไปได้มาก เพราะ คิดว่าต่างฝ่ายต่างต้องการที่จะหาทางลงด้วยวิธีที่ดีที่สุด และเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชน