นายอภิชาต จงสกุล เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร(สศก.)เปิดเผยว่า ไทยได้เปรียบดุลการค้าสินค้าเกษตรกับอาเซียนเพิ่มขึ้นในเดือน ม.ค.53 และยังไม่ได้รับผลกระทบจากการนำเข้าสินค้าโควต้าภาษี(TRQ)ที่สำคัญ หลังเปิดเสรี AFTA ตั้งแต่ 1 ม.ค.53 ดังกล่าวข้างต้น แสดงให้เห็นว่าไทยมีความสามารถในการแข่งขันและได้ประโยชน์จากการเปิดการค้าเสรี AFTA
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลที่นำเสนอเป็นของเดือน ม.ค.หลังการเปิดเสรี AFTA เพียงเดือนเดียว อาจยังสะท้อนภาพไม่ชัดเจน จึงจำเป็นต้องศึกษาติดตามอย่างใกล้ชิดต่อไป ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้แต่งตั้งคณะทำงานติดตามและเฝ้าระวังการนำเข้า-ส่งออกสินค้าเกษตรระดับจังหวัด (Mobile Unit) เพื่อติดตาม และ เฝ้าระวังการนำเข้า-ส่งออกสินค้าเกษตรบริเวณชายแดน และประมวลสถานการณ์และปัญหาที่สำคัญ เป็นระยะๆ
ทั้งนี้ ข้อมูลการส่งออกสินค้าเกษตรไปอาเซียนในเดือน ม.ค.53 มีมูลค่า 13,782 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 74.63% โดยสินค้าส่งออกที่สำคัญ ได้แก่ กลุ่มข้าวและธัญพืช น้ำตาล เครื่องปรุงรส ผลิตภัณฑ์แป้งจากธัญพืช ส่วนการนำเข้าสินค้าเกษตรจากอาเซียน มีมูลค่า 3,286 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.28% สินค้านำเข้าที่สำคัญ ได้แก่ กลุ่มปลาและสัตว์น้ำ ของปรุงแต่งจากธัญพืช ซอส-เครื่องปรุงรส ยาสูบ
สำหรับการนำเข้าสินค้า TRQ จากอาเซียนในเดือน ม.ค.53 หลังการเปิดเสรี AFTA ในสินค้ากลุ่มที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบมาก 4 สินค้า ได้แก่ ข้าว มีการนำเข้าเพิ่มขึ้น แต่มูลค่าไม่มากนักเพียง 0.51 ล้านบาท จาก 0.03 ล้านบาทใน ม.ค.52, น้ำมันปาล์ม มีการนำเข้ามูลค่า 81.87 ล้านบาท ลดลง 12.24% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีมูลค่าการนำเข้า 93.29 ล้านบาท
เมล็ดกาแฟ มีการนำเข้ามูลค่า 20.76 ล้านบาท ลดลง 4.77% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีมูลค่าการนำเข้า 21.80 ล้านบาท และสินค้าไหมดิบ ไม่มีการนำเข้า
ขณะที่สถานการณ์การค้าสินค้าเกษตรระหว่างไทยกับอาเซียนหลังเปิดเสรี AFTA ในภาพรวมตั้งแต่ปี 46 และให้ลดเหลือร้อยละ 0 ทุก รายการในปี 53 ส่งผลให้การค้าเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ โดยเมื่อเปรียบเทียบมูลค่าการค้าสินค้าเกษตร (พิกัดศุลกากร ตอนที่1-24) ช่วงเดือนม.ค.ปรากฏว่ามูลค่าเพิ่มขึ้นจากจาก 7,691 ล้านบาทในปี 46 เป็น 10,845 ล้านบาทในปี 52 และเพิ่มขึ้นเป็น 17,069 ล้านบาท ในปี 53 ซึ่งมูลค่าที่เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมาถึง 56.90% ทำให้ไทยได้เปรียบดุลการค้ากับอาเซียนใน ม.ค.53 สูงถึง 10,496 ล้านบาท