สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ได้สำรวจความคิดเห็นจากประชาชนกรณีการฟื้นฟูสภาพจิตใจ พบว่ากลุ่มประชาชนส่วนใหญ่มีความรู้สึกกับเหตุการณ์เมื่อวันที่ 19 พ.ค.53 ว่า เศร้าใจ เสียใจ หดหู่ใจ ที่เห็นคนไทยต้องมาทะเลาะกันเอง ถึงขั้นเสียชีวิต พร้อมกับรู้สึกว่าเป็นเหตุการณ์ร้ายแรงทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญ ทำให้คนไทยทั้งประเทศต้องจดจำไปอีกนาน
ส่วนวิธีการที่จะช่วยฟื้นฟูสภาพจิตใจของคนไทยทั้งประเทศ ประชาชนส่วนใหญ่ 51.61% เห็นว่า คนไทยทุกคนต้องร่วมมือร่วมใจกันฝ่าฟันเหตุการณ์ร้ายนี้ให้ผ่านไป และเป็นกำลังใจให้กันและกัน รองลงมา เห็นว่ารัฐบาลต้องให้ความดูแล ช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ ครอบครัว/ญาติของผู้เสียชีวิต และผู้ที่ตกงานอย่างเร่งด่วน ส่วนที่เหลือระบุว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ กระทรวงแรงงาน ต้องเร่งหามาตรการหรือแนวทางที่จะช่วยเหลือและฟื้นฟูสภาพจิตใจของคนไทย ส่งเจ้าหน้าที่หรืออาสาสมัครลงไปในพื้นที่เพื่อเยียวยาและฟื้นฟูสภาพจิตใจ
ทั้งนี้จากที่มีการประท้วงและมีการสลายการชุมนุม ประชาชนคิดว่าผลกระทบที่ได้รับมากที่สุด 3 อันดับแรก คือ อันดับแรก ด้านเศรษฐกิจ เพราะต่างประเทศไม่ไว้วางใจในความปลอดภัย, ไม่เชื่อมั่นในการลงทุน, มีคนไทยจำนวนหนึ่งจะต้องตกงาน อันดับ 2 ด้านสังคม เพราะส่งผลกระทบต่อจิตใจของคนไทยทั้งประเทศ, เป็นการใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหา, เด็กและเยาวชนอาจลอกเลียนแบบ และอันดับ 3 ด้านความเชื่อมั่นของต่างประเทศ
เมื่อถามว่าประชาชนคิดว่าควรทำอย่างไรจึงจะทำให้บ้านเมืองสงบสุขและจะไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นอีก ประชาชนส่วนใหญ่ 61.39% ตอบว่า ต้องปลูกจิตสำนึกให้คนไทยทุกคนรักกัน สมัครสมานสามัคคี ปรองดองกัน รักชาติบ้านเมือง รองลงมาก 16.27% ระบุว่า ต้องปฏิรูปโครงสร้างของประเทศไทยในทุกด้านให้ควบคู่กันไป โดยเฉพาะการขยายโอกาสทางการศึกษาให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ ส่วนอีก 11.90% ต้องให้ประชาชนอยู่ดีกินดี ลดช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจน/สร้างอาชีพ สร้างรายได้ และที่เหลือ 10.44% เห็นว่านักการเมืองจะต้องมีคุณธรรม จริยธรรม/บริหารบ้านเมืองด้วยความโปร่งใสและเป็นธรรม
สำหรับบทเรียนที่ได้รับจากการสลายการชุมนุมที่ผ่านมา ประชาชนส่วนใหญ่ตอบว่า เป็นการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินที่ประเมินค่ามิได้ ส่วนการประกาศเคอร์ฟิวของรัฐบาลนั้น ประชาชนส่วนใหญ่เห็นว่าจะทำให้เจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ ปฏิบัติหน้าที่ได้สะดวกมากขึ้น
ทั้งนี้ ผลสำรวจดังกล่าวมาจากความคิดเห็นของประชาชนทั่วประเทศ จำนวน 2,214 คน ระหว่างวันที่ 20-22 พฤษภาคม 2553