นายธีระ วงศ์สมุทร รมว.เกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังการหารือร่วมกับนายนาดีร์ ยูซิฟ เอลทาเยบ บาบิเกร์เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐซูดานประจำประเทศไทย ว่า กระทรวงเกษตรฯ ยินดีพิจารณาให้ความร่วมมือกับซูดานในสาขาที่สนใจ โดยเฉพาะการให้การสนับสนุนความรู้ความชำนาญด้านการปลูกพืช การปศุสัตว์และการประมงรวมถึงการแลกเปลี่ยนผู้เชี่ยวชาญระหว่างกัน โดยขอให้ทางซูดานส่งคำขอความร่วมมือมายังกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ หรือกระทรวงการต่างประเทศอย่างเป็นทางการ
"ที่ผ่านมากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ไม่มีกรอบความร่วมมือกับสาธารณรัฐซูดาน อย่างไรก็ตาม เมื่อเดือนพฤษภาคม 2551 กระทรวงเกษตรฯ ได้ส่งคณะผู้เชี่ยวชาญด้านประมง ข้าว พืชสวน และการวิจัยไม้ผล เดินทางไปสำรวจพื้นที่และรวบรวมข้อมูล ณ สาธารณรัฐซูดานโดยใช้งบประมาณของสำนักงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ (สพร.) กระทรวงการต่างประเทศ และในเดือนสิงหาคม 2551 คณะเจ้าหน้าที่ของซูดานได้เดินทางมาประเทศไทยเพื่อดูงานด้านข้าวของไทย" นายธีระ กล่าว
นายธีระ กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ซูดานเป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในทวีปแอฟริกา และเป็นอันดับสิบของโลก พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบและเป็นทะเลทรายซึ่งเป็นปัญหาที่สำคัญของซูดาน ผู้คนทำการเกษตรง่าย ๆ โดยพึ่งพาฝนเป็นส่วนใหญ่ สำหรับซูดานมีพื้นที่ส่วนใหญ่เหมาะแก่การเพาะปลูกข้าว ฝ้าย อ้อย และพืชไร่อื่นๆ รวมทั้งการเลี้ยงสัตว์ปีกกับปศุสัตว์ เช่น วัว แพะ แกะ แต่ประชากรด้อยการศึกษาและไม่มีทักษะในการทำการเกษตร
นอกจากนี้ ยังมีน้ำจืดอุดมสมบูรณ์จากแม่น้ำไนล์ ซึ่งไหลขึ้นเหนือไปออกทะเลที่อียิปต์ เหมาะแก่การประมงทั้งน้ำจืดและทะเล ดังนั้น การมีความร่วมมือด้านการเกษตรระหว่างไทยกับซูดานจะเป็นการกระชับความสัมพันธ์อันดีทั้งในด้านการเกษตรและการค้าการลงทุนให้เพิ่มมากยิ่งขึ้นกว่าในปัจจุบัน เพื่อจะนำไปสู่การเปิดตลาดสินค้าไทยสู่ตลาดแอฟริกา
เนื่องจากซูดานมีการคมนาคมขนส่งที่สะดวก มีทางออกทะเล ทำให้สามารถขยายตลาดสินค้าเกษตรไทยไปยังประเทศอื่นๆ ที่ใกล้เคียง และไทยอาจสามารถใช้ซูดานเป็นฐานการทำธุรกิจการเกษตรของไทย โดยเฉพาะเรื่องข้าว ฝ้าย พืชไร่ และธุรกิจประมงน้ำจืดและประมงทะเลด้วยเช่นกัน