บริษัท บีพี พีแอลซี เปิดเผยว่า ทางบริษัทสามารถดักจับคราบน้ำมันในอ่าวเม็กซิโกได้ราว 10,500 บาร์เรลเมื่อวานนี้ เพิ่มขึ้นจากวันก่อนหน้านั้นที่สามารถดักจับได้เพียง 6,077 บาร์เรล ขณะที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายรักษาการณ์ชายฝั่งของสหรัฐประมาณการว่า ปฏิบัติการดักจับน้ำมันรั่วไหลครั้งนี้อาจต้องใช้เวลาอีกหลายเดือน จึงจะทำให้ผลกระทบของน้ำมันรั่วที่มีต่อสิ่งแวดล้อมนั้น ลดน้อยลง
โทนี่ เฮย์เวิร์ด ซีอีโอของบีพีเปิดเผยกับผู้สื่อข่าวของ British Broadcasting Corp ในวันนี้ว่า ท่อท่อนใหม่ที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายวิศวกรรมของบีพีนำมาต่อเข้ากับท่อน้ำมันที่รั่วเพื่อดูดน้ำมันให้ลอยขึ้นไปบนผิวน้ำและให้เรือทำการดักจับน้ำมันนั้น ช่วยให้ปฏิบัติการดักจับน้ำมันมีความคืบหน้ามากขึ้น นอกจากนี้ บีพียังเตรียมระบบที่สองรองรับเอาไว้ โดยจะเริ่มใช้ภายในสัปดาห์นี้
อย่างไรก็ตาม ภารกิจการกำจัดคราบน้ำมันของบีพีต้องเผชิญกับอุปสรรคมากมาย รวมถึงลมที่พัดกรรโชกในอ่าวเม็กซิโกได้ทำให้คราบน้ำมันและก้อนน้ำมันที่เต็มไปด้วยสารทาร์ ลอยเข้าใกล้ชายฝั่งรัฐมิสซิสซิปปี อะแลบามา และฟลอริด้า
แท่นขุดเจาะ Deepwater Horizon ของบริษัทเกิดระเบิดขึ้นเมื่อวันที่ 20 เมษายนที่ผ่านมา ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 11 คน และแรงระเบิดยังทำให้น้ำมันไหลลงสู่อ่าวเม็กซิโกหลายล้านแกลลอน โดยหน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐประมาณการว่าน้ำมันดิบที่รั่วไหลลงสู่ท้องทะเลในขณะนี้อยู่ที่ระดับ 12,000 - 19,000 บาร์เรลต่อวัน
จนถึงขณะนี้ บีพีได้ใช้งบประมาณไปแล้วกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ในการอุดรอยรั่วและขจัดคราบน้ำมันออกจากท้องทะเล ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญคาดว่า บีพีอาจต้องขายทรัพย์สินที่มีมูลค่ามากที่สุดบางส่วน รวมถึงการขายหุ้นในบ่อน้ำมันที่อ่าวพรูโดในรัฐอลาสก้า เพื่อนำเงินมาเป็นทุนในการแก้ปัญหาน้ำมันรั่วไหลในอ่าวเม็กซิโก และเพื่อใช้ในการสู้คดีความทางกฎหมาย