บริษัทน้ำมันบีพีกำลังเผชิญปัญหาหนักรอบด้าน หลังตัวเลขความเสียหายจากเหตุน้ำมันรั่วไหลในอ่าวเม็กซิโกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่หุ้นของบีพีก็ร่วงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 14 ปี นอกจากนั้นชาวประมง ผู้ประกอบธุรกิจ และเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ซึ่งได้รับผลกระทบก็ร้องทุกข์ว่าการเคลมค่าเสียหายเป็นไปอย่างล่าช้า ใช้เอกสารมากเกินไป และได้เงินชดเชยน้อยเกินไป
โดยนักลงทุนต่างเทขายหุ้นบีพีเนื่องจากเกรงว่าบริษัทอาจให้เงินปันผลช้าและอาจถึงขั้นล้มละลายจากค่าทำความสะอาดน้ำมัน ค่าปรับ และค่าชดเชยความเสียหายจำนวนมหาศาล
ขณะเดียวกันชาวประมงผู้จับกุ้ง หอยนางรม ผู้ทำธุรกิจอาหารทะเล คนงานแท่นขุดเจาะที่ไม่มีงานทำ รวมถึงผู้ประกอบธุรกิจการท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบจากการรั่วไหลของน้ำมัน ต่างเรียงหน้าเข้ามาเรียกร้องค่าเสียหายรวมกันหลายพันล้านดอลลาร์จากบีพี แต่ผู้ได้รับผลกระทบต้องหัวเสียเมื่อการเคลมค่าเสียหายเป็นไปอย่างล่าช้า โดยผู้ประกอบธุรกิจบางรายอาจต้องปิดกิจการหากไม่ได้รับเงินชดเชยโดยเร็ว ขณะที่ชาวบ้านบางส่วนคิดว่าเหตุการณ์นี้อาจเหมือนเหตุการณ์หลังพายุแคทริน่าถล่มเมื่อปี 2548 ซึ่งพวกเขาต้องรอนานหลายปีกว่าจะได้เงินชดเชย
อย่างไรก็ตาม โฆษกของบีพี ออกมาโต้แย้งว่ากระบวนการเคลมเงินไม่ได้ล่าช้าและทางบริษัทไม่ได้ถ่วงเวลา พร้อมยืนยันว่าบีพีได้ลดขั้นตอนและเวลาการเคลมเหลือเพียง 45 วัน และอาจเร็วสุดภายใน 48 ชั่วโมง นอกจากนั้นยังไม่มีการปฏิเสธการเคลมเงินแม้แต่รายเดียว แต่ที่ผู้เคลมเงินหลายพันรายยังไม่ได้รับเงินเมื่อสัปดาห์ที่แล้วเป็นเพราะทางบริษัทต้องตรวจเอกสารเพิ่มเติม
กฎหมายระบุว่าบีพีต้องจ่ายค่าเสียหายหลายอย่าง อาทิ ค่าความเสียหายของอสังหาริมทรัพย์และค่าเสียรายได้ โดยชาวบ้านและผู้ประกอบธุรกิจสามารถโทรไปรายงานความเสียหาย ยื่นเรื่องขอเคลมเงินออนไลน์ และขอความช่วยเหลือได้ที่สำนักงานเคลมค่าเสียหาย 25 แห่งรอบอ่าวเม็กซิโก ขณะที่กลาสีเรือและชาวประมงต้องแสดงหลักฐานที่บ่งชี้ว่าปกติแล้วพวกเขามีรายได้เท่าไหร่
ในเบื้องต้นบีพีจ่ายค่าเสียหายให้กับกลาสีเรือและเจ้าของเรือประมงจำนวน 2,500 และ 5,000 ดอลลาร์ตามลำดับในทันที และจะได้รับเงินเพิ่มเติมเมื่อการตรวจเอกสารเสร็จเรียบร้อยและเงินชดเชยได้รับการอนุมัติ บีพีเผยว่าจนถึงตอนนี้มีการจ่ายค่าชดเชยไปแล้ว 18,000 กรณี ซึ่งทางบริษัทต้องจ้างเจ้าหน้าที่ตรวจสอบ 600 คนเพื่อรับมือกับเรื่องนี้
บีพีคาดการณ์ว่าเฉพาะในเดือนมิถุนายนทางบริษัทคงต้องจ่ายเงินราว 84 ล้านดอลลาร์เพื่อชดเชยให้กับผู้ที่สูญเสียรายได้และกำไร ซึ่งตัวเลขดังกล่าวอาจเพิ่มขึ้นอีกเนื่องจากมีการเคลมเข้ามาเรื่อยๆ ส่งผลให้นักวิเคราะห์คาดว่าค่าเสียหายที่ต้องชดเชยทั้งหมดอาจสูงถึงหลายหมื่นล้านดอลลาร์