นายอลงกรณ์ พลบุตร รมช.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ที่ประชุมเรื่องการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาสินค้ายาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีมติเห็นชอบแนวทางการแก้ไขปัญหายาละเมิดเครื่องหมายการค้าร่วมกัน โดยเตรียมจัดทำ MOU เรื่องความร่วมมือป้องกันและปราบปรามยาละเมิดเครื่องหมายการค้ากับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวม 12 หน่วยงาน คาดว่าจะสามารถลงนามใน MOU ได้ในช่วงต้นเดือน ส.ค.53
หน่วยงานเหล่านี้ ได้แก่ กรมทรัพย์สินทางปัญญา กรมศุลกากร กรมสอบสวนคดีพิเศษ สำนักงานอาหารและยา สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สมาคมผู้วิจัยและผลิตเภสัชภัณฑ์(PReMA) สมาคมไทยอุตสาหกรรมผลิตยาแผนปัจจุบัน (TPMA) กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ สำนักงานอัยการฝ่ายคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ สภาเภสัชกรรม และหน่วยงานภาคประชาสังคมที่เกี่ยวข้อง
เนื่องจาก สมุนไพรและการแพทย์แผนไทยเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ ซึ่งรัฐบาลมีนโยบายชัดเจนในการพัฒนาประเทศตามแนวทางดังกล่าวได้เสนอขอการสนับสนุนจากนายกรัฐมนตรี จัดตั้งโรงพยาบาลแพทย์แผนไทยขึ้นใน 5 ภูมิภาคของประเทศ เพื่อให้เกิดการพัฒนา และการใช้ประโยชน์จากสมุนไพรและการแพทย์แผนไทยอย่างจริงจังต่อไป
ในส่วนของการแต่งตั้งคณะทำงานศึกษาผลกระทบสิทธิบัตรยา และการปรับปรุงฐานข้อมูลสิทธิบัตรซึ่งกรมทรัพย์สินทางปัญญาอยู่ระหว่างการดำเนินการนั้น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้มอบนโยบายให้มีการพิจารณากรอบความเชื่อมโยงกับองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก UNCTAD WTO และองค์การอนามัยโลกด้วย นอกจากนี้ได้มอบหมายกรมทรัพย์สินทางปัญญาร่วมการศึกษาวิจัยเรื่อง evergreening patent หรือสิทธิบัตรที่ไม่มีวันหมดอายุ เพื่อหาแนวทางการดำเนินการที่เหมาะสมและเป็นธรรม
นายอลงกรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากการประชุมคณะกรรมการนโยบายทรัพย์สินทางปัญญาแห่งชาติ เมื่อวันที่ 25 มิ.ย.53 ที่นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบแต่งตั้งคณะอนุกรรมการนโยบายทรัพย์สินทางปัญญาด้านยาและเวชภัณฑ์ โดยมีรมว.สาธารณสุข เป็นประธาน และมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐ เอกชน และภาคประชาสังคมเป็นอนุกรรมการ เพื่อยกร่างยุทธศาสตร์ทรัพย์สินทางปัญญาด้านยาและเวชภัณฑ์ พร้อมทั้งให้มีการแต่งตั้งอนุกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะอนุกรรมการดังกล่าว 3-5 คนนั้น
ที่ประชุมมีความเห็นร่วมกันว่าผู้ที่จะได้รับการแต่งตั้งจะต้องมีความเป็นกลาง ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน และน่าจะมีนักวิจัยที่ทำงานให้ประเทศไทยเข้าร่วมด้วย โดยขอให้ผู้ที่ต้องการเสนอชื่อผู้ทรงคุณวุฒิแจ้งกรมทรัพย์สินทางปัญญาทราบ ภายในวันที่ 16 กรกฎาคม 2553 เพื่อเสนอนายกรัฐมนตรีพิจารณาลงนามในคำสั่งแต่งตั้งต่อไป
ด้าน PReMA ได้เสนอแนวทางความร่วมมือเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมยา ในการดำเนินโครงการPartnership for Safe Medicine ที่มีความครอบคลุม 6 ด้าน คือ การสร้างความตระหนักเกี่ยวกับยาคุณภาพ การพัฒนาศักยภาพของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง การปราบปรามยาที่ไม่ได้มาตรฐาน การปรับปรุงระบบการจัดหายา (supply chain) การพัฒนาระบบการขนส่งยา (logistic) และการพัฒนาระบบกฎหมายที่เกี่ยวข้อง