สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนดุสิต เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อเหตุการณ์ระเบิดที่เกิดขึ้น พบว่าประชาชนส่วนใหญ่ถึง 73.58% เชื่อว่ามีความเกี่ยวข้องกับการเมือง เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นน่าจะเชื่อมโยงกับสถานการณ์ทางการเมืองที่ยังไม่ยุติลงติดต่อกันมาเรื่อยๆ ช่วงนี้เป็นช่วงที่มีกระแสสร้างความปรองดองอาจมีคนบางกลุ่มที่ไม่เห็นด้วย และอยากให้บ้านเมืองวุ่นวาย
ส่วนความเห็นว่าควรจะยกเลิกการบังคับใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินหรือไม่นั้น ส่วนใหญ่ 58.49% ระบุว่าไม่ควรยกเลิก เพราะอาจยิ่งทำให้สถานการณ์ต่างๆ แย่ลงกว่าเดิม และควบคุมได้ยากขึ้น ขณะที่ประชาชน 18.87% ระบุว่าควรยกเลิก เพราะการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดความขัดแย้งแตกแยกในบ้านเมือง, ทำให้คนบางกลุ่มอยากท้าทายอำนาจรัฐ, การประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ไม่เป็นธรรมกับคนในสังคม ส่วนอีก 22.64% ระบุว่าไม่แน่ใจ เพราะขึ้นอยู่กับการนำไปใช้และการนำไปปฏิบัติของแต่ละคนมากกว่า
สำหรับความเห็นของประชาชนต่อเหตุระเบิดที่เกิดขึ้นในนั้น ความเห็นสูงสุดสามอันดับแรก มองว่าเป็นการสร้างสถานการณ์ของผู้ที่ไม่หวังดีต่อบ้านเมือง อยากเห็นบ้านเมืองปั่นป่วน วุ่นวาย รองลงมา เป็นการกระทำที่ท้าทาย ไม่เกรงกลัวกฎหมายและเจ้าหน้าที่ของบ้านเมือง และอันดับสาม เจ้าหน้าที่ตำรวจควรเร่งติดตามจับกุมตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษโดยเร็ว /สืบสวนหาข้อเท็จจริง
ทั้งนี้ ประชาชนส่วนใหญ่ 70.83% เชื่อว่าการป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ระเบิดขึ้นอีกจะทำไม่สำเร็จ เพราะมีผู้ไม่หวังดีพยายามสร้างความวุ่นวายให้กับบ้านเมืองอยู่มาก, แต่ละพื้นที่ที่เป็นจุดเสี่ยงมีบริเวณกว้างยากแก่การควบคุมดูแล ฯลฯ มีเพียง 6.26% ที่มองว่าทำสำเร็จ เพราะหากรัฐบาลและเจ้าหน้าที่ทหารตำรวจมีมาตรการเด็ดขาด เอาจริงเอาจังและเข้มงวดกวดขันมากขึ้น
สำหรับคนที่ประชาชนฝากความหวังต่อการแก้ปัญหานี้ไว้มากที่สุด คือ นายกรัฐมนตรีและรัฐบาล รองลงมาคือ เจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ, ผบ.ตร คนใหม่ รวมทั้งทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องและประชาชนด้วย โดยประชาชนส่วนใหญ่ระบุว่าจะช่วยเรื่องนี้ได้ด้วยการดูแลตัวเองให้ดี ไม่อยู่ในที่เสี่ยงอันตราย ช่วยเป็นหูเป็นตาสอดส่องดูแลแทนเจ้าหน้าที่บ้านเมือง และรับฟังข่าวสารที่เกิดขึ้นอย่างมีสติ ไม่ตื่นตระหนกจนเกินไป
ส่วนวิธีที่ประชาชนคิดว่าวิธีการป้องกันและแก้ไขได้เป็นรูปธรรม อันดับแรกเพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจตามจุดเสี่ยงต่างๆมากขึ้น/หน่วยข่าวกรองตรวจสอบข่าวให้ละเอียด รองลงมา ขอความร่วมมือจากผู้ประกอบการ ห้างร้านต่างๆเพิ่มความระมัดระวัง เข้มงวดกวดขันการเข้า-ออกให้มากขึ้น และอันดับ 3 ควรเร่งกวาดล้างหรือสืบหาแหล่งที่มาของอาวุธร้ายแรงที่นำมาใช้ก่อเหตุอย่างง่ายดาย
ผลสำรวจดังกล่าว มาจากความคิดเห็นของประชาชนทั่วประเทศ จำนวน 2,188 คน ดำเนินการสำรวจระหว่างวันที่ 9-11 กันยายน 2553