นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รมว.สาธารณสุข ได้ลงนามความร่วมมือกับสมาคมองค์การบริหารส่วนตำบลแห่งประเทศไทย เพื่อพัฒนาทีมเฝ้าระวังสอบสวนโรคเคลื่อนที่เร็วระดับอำเภอและตำบล
ขณะนี้กระทรวงสาธารณสุขมีทีมเฝ้าระวังสอบสวนโรคเคลื่อนที่เร็ว(SRRT)จำนวนกว่า1,030 ทีม กระจายอยู่ทั่วประเทศ ครบทั้ง 3 ระดับ คือ ระดับประเทศอยู่ที่ส่วนกลางที่กรมควบคุมโรค ระดับจังหวัดครบทุกจังหวัดและระดับอำเภอครบทุกอำเภอ สิ่งที่จะพัฒนาต่อไป คือ สร้างทีมเฝ้าระวังสอบสวนโรคเคลื่อนที่เร็วระดับตำบล ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และอาสาสมัครสาธารณสุขด้วย
สำหรับภารกิจสำคัญของทีมเฝ้าระวังสอบสวนโรค คือ การเฝ้าระวัง สอบสวนโรคเมื่อมีโรคเกิดขึ้น และควบคุมไม่ให้ลุกลามออกไปนอกพื้นที่ หรือนอกวงที่มีการแพร่ระบาด
“หากทีมเฝ้าระวังสอบสวนโรคมีประสิทธิภาพ จะช่วยแก้ปัญหาโรคระบาดทั้งโรคไข้เลือดออก โรคไข้หวัดใหญ่ รวมทั้งปัญหาผู้ป่วยล้นโรงพยาบาลได้ หากเกิดเหตุหรือมีการระบาดของโรคที่ไหน ทีมสอบสวนโรคจะเข้าไปถึงได้อย่างรวดเร็ว และหาสาเหตุ แก้ไขได้ตรงจุด โอกาสการแพร่ระบาดลุกลามของโรคจะไม่มี"นายจุรินทร์ กล่าว
นายจุรินทร์ ยกตัวอย่างประสิทธิภาพของทีมเฝ้าระวังสอบสวนโรค เช่นในวันนี้ ที่มีข่าวว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เป็นไข้หวัดใหญ่ 2009 นั้น แม้ไม่ทราบว่าจะจริงหรือไม่ แต่ได้มอบหมายให้อธิบดีกรมควบคุมโรคส่งทีมเฝ้าระวังสอบสวนโรคเข้าไปตรวจสอบว่าเกิดอะไรขึ้น อย่างไร เพื่อหาวิธีการป้องกันได้ตรงประเด็น เพราะแต่ละพื้นที่ แต่ละกรณี อาจเกิดจากสาเหตุแตกต่างกัน
ส่วนที่เป็นห่วงว่าแพทย์จะสามารถวินิจฉัยแยกโรคระหว่างโรคไข้เลือดออกและโรคไข้หวัดใหญ่ที่มีไข้สูงด้วยกันทั้งคู่ได้หรือไม่นั้น ขอยืนยันว่า แพทย์มีความเข้าใจความแตกต่างของโรคดี สามารถวินิจฉัยแยกโรคได้ถูกต้อง โดยอาการเบื้องต้นของโรคต่างกัน โรคไข้หวัดใหญ่จะมีไข้ ปวดศีรษะ ไอจาม มีน้ำมูก ส่วนไข้เลือดออกจะมีไข้สูงแต่ไม่มีน้ำมูก
ทั้งนี้ พ่อ แม่ ผู้ปกครอง หรือประชาชนทั่วไปต้องสังเกตตัวเองเพราะขณะนี้เป็นฤดูฝนโอกาสที่จะพบโรคทั้งสองนี้มีมาก หากมีไข้ แม้จะมีหรือไม่มีน้ำมูกก็ตาม ขอให้รีบไปพบแพทย์ อย่าซื้อยากินเอง อย่าปล่อยให้ตัวเองอาการหนัก ซึ่งทีมแพทย์พร้อมรับมือ อย่าห่วงเรื่องผู้ป่วยล้นโรงพยาบาล
พร้อมกับเตือนประชาชนปฏิบัติตามคำแนะนำที่กระทรวงสาธารณสุขแนะนำไว้ คือ ปิด เลี่ยง ล้าง หยุด รวมทั้ง กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ สวมหน้ากากอนามัย ซึ่งมาตรการนี้ยังใช้ได้ผลอยู่ขอให้ปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง ทั้งระดับองค์กรหน่วยงานและรายบุคคล ที่สำคัญที่สุดขอให้เข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง เข้ารับบริการได้ฟรีที่โรงพยาบาลของรัฐทุกแห่งทั่วประเทศ ส่วนผู้ที่ไม่ใช่กลุ่มเสี่ยง ต้องเสียค่าใช้จ่ายเอง หากสามารถทำได้ก็ขอให้ไปฉีดวัคซีนป้องกัน เพราะเป็นการป้องกันที่ดีที่สุด ส่วนการเปิดช่องทางพิเศษได้มอบหมายให้ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และอธิบดีกรมควบคุมโรคติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและตัดสินใจว่าควรจะเปิดช่องทางพิเศษหรือไม่ ทั้งไข้หวัดใหญ่และไข้เลือดออก