เย็นวันเสาร์ที่ 13 พฤศจิกายน 2553 ในที่สุดเวลาที่ประชาคมโลกรอคอยก็มาถึง เมื่อรัฐบาลทหารพม่าปล่อยตัวนางออง ซาน ซู จี แกนนำเรียกร้องประชาธิปไตยในพม่า โดยไม่มีการกำหนดเงื่อนไขผูกมัดใดๆ ซูจีปรากฏตัวในชุดประจำชาติพม่าสีม่วงอ่อน นางได้กล่าวทักทายฝูงชนที่ร้องตะโกนให้กำลังใจและร้องเพลงชาติกันอย่างมีความสุข ในที่สุดเธอก็ได้รับอิสรภาพหลังจากที่ถูกกักบริเวณอยู่แต่ภายในบ้านเกือบตลอดระยะเวลากว่า 2 ทศวรรษที่ผ่านมา
นอกจากประชาชนชาวพม่านับล้านคนทั้งที่อาศัยอยู่ในพม่าและในต่างประเทศแล้ว ผู้นำจากทั่วโลกต่างแสดงความยินดีกับอิสรภาพที่ซูจีได้รับในครั้งนี้ ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ของสหรัฐ แสดงความยินดีกับการปล่อยตัวซูจี พร้อมเรียกร้องให้พม่าปล่อยตัวนักโทษการเมืองทั้งหมด ขณะที่นายบัน กี มุน เลขาธิการสหประชาชาติ ก็ออกมายกย่องซูจีในฐานะที่เป็นแรงบันดาลใจของทุกคน พร้อมเรียกร้องให้พม่าปล่อยตัวนักโทษการเมืองในประเทศทั้งหมดเช่นกัน เช่นเดียวกับหน่วยงานและองค์กรต่างๆ ที่ออกมาแสดงความยินดีกับซูจีอย่างไม่ขาดสาย ขณะเดียวกันผู้สนับสนุนซูจีจากทั่วโลกก็ได้รวมตัวกันตามสถานที่ต่างๆ เพื่อฉลองสิ่งที่อาจเรียกได้ว่าเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในพม่า
หนึ่งวันหลังจากได้รับอิสรภาพที่รอคอยมานาน ซูจีได้กล่าวปราศรัยเป็นครั้งแรก ณ ที่ทำการพรรคเอ็นแอลดี ต่อหน้าฝูงชนหลายหมื่นคน โดยเธอแสดงจุดยืนว่าจะทำงานเพื่อสร้างความปรองดองในประเทศ ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวต้องได้รับการสนับสนุนอย่างมาก ดังนั้นเธอจึงขอให้กลุ่มผู้สนับสนุนทำงานร่วมกันเพื่อความเป็นอันหนึ่งอันเดียว ขณะเดียวกันเธอก็ยืนยันว่าไม่ได้ต่อต้านหรือเกลียดชังรัฐบาลทหารพม่าที่สั่งกักบริเวณเธอมานาน นอกจากนั้นเธอยังให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวต่างประเทศหลังการปราศรัยว่า การเจรจาเป็นหนทางเดียวที่จะแก้ปัญหาต่างๆในพม่าได้ ดังนั้นเธอพร้อมพบปะหารือกับแกนนำรัฐบาลทหารพม่า รวมถึงพร้อมรับฟังความคิดเห็นของชาวพม่าและกลุ่มผู้สนับสนุนจากนานาชาติว่า อยากให้เธอเดินหน้าต่อไปอย่างไร
คำปราศรัยและน้ำเสียงที่จับใจของซูจีทำให้ชาวพม่าและประชาคมโลกเกิดความหวังขึ้นอีกครั้งว่าประชาธิปไตยในพม่าอาจไม่ใช่ฝันอีกต่อไป อย่างไรก็ดี เส้นทางสู่ประชาธิปไตยในพม่าไม่ได้โรยไว้ด้วยกลีบกุหลาบอย่างแน่นอน เนื่องจากซูจีและรัฐบาลทหารพม่ายังมีแนวคิดที่ต่างกันสุดขั้วจนนึกภาพไม่ออกว่าเรื่องราวจะจบลงแบบ “แฮปปี้เอ็นดิ้ง" ได้อย่างไร เพราะฝ่ายซูจีต้องการให้ประชาชนทุกคนมีสิทธิเสรีภาพเท่าเทียมกัน ขณะที่ฝ่ายรัฐบาลยังคงต้องการกุมอำนาจไว้เพียงผู้เดียว ดูได้จากกระบวนการเลือกตั้งครั้งแรกในรอบ 20 ปีของพม่าเมื่อวันอาทิตย์ที่ 7 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ซึ่งดูเหมือนว่ารัฐบาลจะเตรียมการณ์ไว้เป็นอย่างดี ตั้งแต่การสั่งกักบริเวณซูจีเพิ่ม สส่งผลให้นางได้รับอิสรภาพภายหลังการเลือกตั้งสิ้นสุดลงแล้ว นอกจากนั้นยังกันพลาดด้วยการออกกฎหมายซึ่งระบุว่าบุคคลที่เคยต้องคำพิพากษามาก่อนไม่สามารถมีส่วนร่วมในการเลือกตั้งได้ ซึ่งหมายความว่าซูจีจะไม่สามารถมีส่วนร่วมในการเลือกตั้งได้อย่างแน่นอน นอกจากนั้นผลการเลือกตั้งยังออกมา “ตามสคริปต์" เมื่อพรรคที่คว้าชัยไปครองคือพรรคยูเอสดีพี ซึ่งเป็นพรรคการเมืองที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลทหารพม่า
หลายฝ่ายมองว่าการเลือกตั้งที่ “เตี๊ยม" กันมาเป็นอย่างดี ซึ่งรวมถึงการขัดขวางไม่ให้ซูจีซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของประชาธิปไตยได้มีส่วนร่วมในการเลือกตั้ง ทำให้การเลือกตั้งครั้งนี้ไม่สามารถเรียกได้ว่าโปร่งใส ยุติธรรม และเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริงในสายตาของประชาคมโลก อาจพูดได้ว่าสิ่งที่รัฐบาลทหารพม่าทำเป็นเพียงการลดกระแสกดดันจากทั่วโลกเท่านั้น การจัดการเลือกตั้งก็คล้ายกับต้องการสร้างภาพว่าพม่ากำลังเดินหน้าสู่ประชาธิปไตย ส่วนการปล่อยตัวซูจีก็เป็นการเบี่ยงเบนความสนใจของทั่วโลกจากการเลือกตั้งซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่มีความโปร่งใส เมื่อพิจารณาแล้วดูเหมือนว่าทั้งการเลือกตั้งครั้งแรกในรอบ 20 ปี และการปล่อยตัวซูจีหลังจากที่ถูกกักขังมาเกือบตลอด 20 ปี อาจไม่ได้ทำให้พม่าเข้าใกล้ประชาธิปไตยมากขึ้นอย่างที่หวัง
อีกประเด็นสำคัญที่น่าจะทำให้การหันหน้าเข้าหากันระหว่างนางซูจีและรัฐบาลทหารพม่าเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากยิ่งคือ การที่ซูจีออกมาประกาศหลังได้รับอิสรภาพว่า เธอและคณะกรรมการของพรรคเอ็นแอลดีจะตรวจสอบการโกงเลือกตั้ง และจะเปิดเผยรายงานเรื่องนี้ต่อสาธารณชนในไม่ช้า พร้อมกันนั้นเธอยังยืนยันว่าไม่กลัวถูกกักบริเวณอีก แม้รู้ดีว่ามีความเป็นไปได้ที่จะถูกกระทำเช่นนั้นก็ตาม ซึ่งการประกาศกร้าวเช่นนี้ถือเป็นการท้าทายและตบหน้ารัฐบาลทหารพม่าอย่างแรง
เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ต่างๆ และปัจจัยทั้งหลายทั้งปวงแล้ว อิสรภาพของออง ซาน ซู จี ดูเหมือนว่าจะเป็นเพียงความสำเร็จในเชิงสัญลักษณ์เท่านั้น และมหากาพย์การเดินทางสู่ประชาธิปไตยในพม่าก็คงจะดำเนินไปอย่างยืดเยื้อยาวนานกว่าจะปิดม่านลง
ย้อนรอยเส้นทางการต่อสู้ของ ออง ซาน ซู จี
ปลายเดือนมีนาคม พ.ศ. 2531 พม่ากำลังตกอยู่ในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำและความวุ่นวายทางการเมือง ประชาชนไม่พอใจการปกครองระบอบเนวินและรวมตัวกันประท้วงกดดันจนนายพลเนวินต้องประกาศลาออกจากตำแหน่งประธานพรรคโครงการสังคมนิยมพม่า ที่ยึดอำนาจปกครองพม่ามานานถึง 26 ปี
8 สิงหาคม พ.ศ. 2531 หรือราว 2 สัปดาห์หลังการลาออกของนายพลเนวิน ประชาชนนับล้านรวมตัวกันในย่างกุ้งเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย และแผ่ขยายไปทั่วประเทศ ผู้นำทหารสั่งการให้ใช้กำลังอาวุธสลายการชุมนุม ทำให้ผู้ร่วมชุมนุมต้องสังเวยชีวิตไปหลายพันคน
15 สิงหาคม พ.ศ. 2531 ออง ซาน ซูจี วัย 43 ปี เข้าร่วมกิจกรรมทางการเมืองเป็นครั้งแรก โดยส่งจดหมายเปิดผนึกถึงรัฐบาล เรียกร้องให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการอิสระเพื่อเตรียมการเลือกตั้งทั่วไป และหลังจากนั้น 11 วันก็ได้กล่าวปราศรัยเรียกร้องประชาธิปไตยเป็นครั้งแรกต่อหน้าฝูงชนประมาณ 500,000 คน
24 กันยายน พ.ศ. 2531 ออง ซาน ซูจี ได้ร่วมจัดตั้งพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (เอ็นแอลดี) และได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรค
20 กรกฎาคม พ.ศ. 2532 รัฐบาลเผด็จการสั่งกักบริเวณนางซูจีให้อยู่แต่ในบ้านพักเป็นครั้งแรกด้วยระยะเวลา 3 ปีโดยไม่มีข้อหา และจับกุมสมาชิกพรรคจำนวนมากไปคุมขัง
27 พฤษภาคม พ.ศ. 2533 พรรคเอ็นแอลดีของเธอได้รับชัยชนะอย่างท่วมท้นในการเลือกตั้งทั่วไป แต่รัฐบาลทหารปฏิเสธที่จะถ่ายโอนอำนาจให้ และยื่นข้อเสนอให้นางซูจียุติบทบาททางการเมืองและเดินทางออกนอกประเทศไปใช้ชีวิตกับสามีและบุตร แต่นางปฏิเสธ รัฐบาลทหารจึงมีคำสั่งยืดเวลาการกักบริเวณเธอเป็น 5 ปี และเพิ่มอีก 1 ปีในเวลาต่อมา
14 ตุลาคม พ.ศ. 2534 ออง ซาน ซูจี ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพจากคณะกรรมการโนเบลแห่งประเทศนอร์เวย์
10 กรกฎาคม พ.ศ. 2538 นางซูจีได้รับอิสรภาพจากการถูกกักบริเวณครั้งแรกแต่ก็ยังถูกเจ้าหน้าที่รัฐติดตามความเคลื่อนไหวตลอดเวลาจนไม่สามารถดำเนินกิจกรรมทางการเมืองได้อย่างอิสระ นอกจากนั้นยังถูกลอบทำร้ายบ่อยครั้งแม้จะมีกำลังตำรวจคอยคุ้มกันก็ตาม แต่นางก็ต่อสู้ด้วยสันติวิธีตลอดมา โดยใช้วิธีเขียนจดหมาย เขียนหนังสือ บันทึกวีดีโอเทป ออกสู่ประชาคมโลกอย่างต่อเนื่อง
21 กันยายน พ.ศ.2543 นางซูจีถูกกักบริเวณเป็นครั้งที่ 2 โดยปราศจากข้อกล่าวหาและความผิดเช่นเคย และได้รับอิสรภาพเมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2545
30 พฤษภาคม พ.ศ. 2546 เกิดเหตุปะทะระหว่างกลุ่มผู้สนับสนุนรัฐบาลกับกลุ่มผู้สนับสนุนนางซูจี นางซูจีถูกกักบริเวณเป็นครั้งที่ 3 โดยรัฐบาลพม่าอ้างว่าจำเป็นต้องทำเพื่อความปลอดภัยของนางซูจีเอง หลังจากนั้นรัฐบาลทหารพม่าก็ขยายระยะเวลาในการกักขังนางซูจีมาโดยตลอด
25 พฤษภาคม พ.ศ. 2551 ครบกำหนดการคุมขังนางซูจีตามกฎหมายความมั่นคงของพม่า แต่รัฐบาลพม่ายังประกาศขยายเวลากักขังนางต่อไปอีกปี
3 พฤษภาคม พ.ศ. 2552 หรือไม่ถึง 1 เดือนก่อนที่คำสั่งกักบริเวณของเธอจะสิ้นสุดลงในวันที่ 27 พฤษภาคม นายจอห์น วิลเลียม เยตทอว์ ชายชาวอเมริกันวัย 53 ปี ว่ายน้ำข้ามทะเลสาบและลักลอบเข้าไปยังบ้านพักของนางซูจีในกรุงย่างกุ้ง เขาพักอยู่ที่นั่นเป็นเวลา 2 วันและถูกจับกุมเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคมขณะว่ายน้ำกลับออกมา ส่งผลให้นางซูจีถูกตั้งข้อหาละเมิดเงื่อนไขการกักบริเวณ
11 สิงหาคม พ.ศ. 2552 ซูจีถูกตัดสินว่าฝ่าฝืนคำสั่งการกักบริเวณจริง และถูกตัดสินจำคุก 3 ปี แต่ได้รับการลดโทษเป็นการกักบริเวณเพิ่มอีก 18 เดือน
7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 พม่าจัดการเลือกตั้งครั้งแรกในรอบ 20 ปี แต่พรรคเอ็นแอลดีของซูจีตัดสินใจคว่ำบาตรไม่ร่วมการเลือกตั้งโดยให้เหตุผลว่าเป็นการเลือกตั้งที่ไม่ยุติธรรมและไม่เป็นธรรม ส่งผลให้ถูกยุบพรรคไปในที่สุด
13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 รัฐบาลทหารพม่าปล่อยตัวออง ซาน ซู จี ในที่สุด
สรุปแล้ว ออง ซาน ซู จี วัย 65 ปี ต้องโทษกักบริเวณในบ้านพักเป็นเวลานานถึง 15 ปี ตลอดระยะเวลา 21 ปีที่ผ่านมา