ศอฉ.ออกคำสั่งห้ามผู้ชุมนุมจำหน่าย จ่าย แจกสินค้าที่สร้างความแตกแยก

ข่าวการเมือง Friday November 19, 2010 13:43 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน(ศอฉ.) ออกประกาศเพิ่มเติม โดยห้ามผู้ชุมนุมขายสินค้าที่สร้างความแตกแยก ตลอดจนมีไว้กับตัว หากผู้ใดฝ่าฝืนมีโทษคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 4 หมื่น หรือทั้งจำทั้งปรับ

ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก(ผบ.ทบ.) ในฐานะหัวหน้าผู้รับผิดชอบการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน มีคำสั่งเพื่อควบคุมการชุมนุมของกลุ่มแสดงออกทางการเมืองในวันที่ 19 พ.ย.53 ตามคำสั่ง ศอฉ.ที่ 141/2553 เรื่องให้พนักงานเจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจออกคำสั่งยึด หรืออายัดสินค้า หรือวัตถุอื่นใดที่ก่อให้เกิดความแตกแยก ทั้งนี้ตามที่ได้มีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่กรุงเทพฯ นนทบุรี สมุทรปราการ และปทุมธานี

เพื่อให้เกิดการดำเนินการของพนักงานเจ้าหน้าที่ในการป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ร้ายแรงมากขึ้น และเพื่อความเสริมสร้างให้เกิดความเชื่อมั่นต่อการดำเนินการของเจ้าหน้าที่รัฐ โดยมุ่งนำสังคมกลับเข้าสู่ความสงบสุขจึงมีความจำเป็นที่หัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินต้องออกคำสั่งห้ามและให้พนักงานเจ้าหน้าที่กระทำการใดเทาที่จำเป็นแก่การรักษาความมั่นคงของรัฐ และความปลอดภัยของประชาชนอาศัยอำนาจตามข้อ 3 และข้อ 6 แห่งประกาศตามมาตรา 11 แห่ง พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 หัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน จึงออกคำสั่งดังนี้

1.ห้ามบุคคลใดมีไว้ครอบครอง หรือมีไว้เพื่อการจำหน่ายจ่ายแจก ซึ่งสินค้าเสื้อผ้า เครื่องอุปโภคบริโภคหรือวัตถุอื่นใดที่มีการพิมพ์ เขียน วาดภาพ ถ่ายภาพ หรือวิธีอื่นใดที่ทำให้ปรากฏความหมายในลักษณะยั่วยุ ปลุกระดม สร้างความปั่นป่วน หรือก่อให้เกิดความแตกแยกในหมู่ประชาชนโดยทั่วไป หรือเพื่อการกระทำหรือสนับสนุนการกระทำให้เกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน

2.ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจออกคำสั่งยึดหรืออายัด สินค้าเสื้อผ้า เครื่องอุปโภคบริโภค หรือวัตถุอื่นใดตามข้อ 1 โดยให้มีอำนาจกระทำการเท่าที่จำเป็นแก่การรักษาความมั่นคงของรัฐ หรือความปลอดภัยของประชาชน

3.ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ชั้นสัญญาบัตรหรือเทียบเท่าเป็นผู้ดำเนินการตามคำสั่งนี้ 4. ผู้ใดฝ่าฝืนข้อห้ามคำสั่งนี้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ทั้งนี้ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 18 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ