นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย(พท.) ระบุเตรียมฟ้องกลับ 3 ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทันทีหากพบข้อมูลการกล่าวหาอันเป็นเท็จ โดยพร้อมพิสูจน์ข้อเท็จจริงตามกระบวนการยุติธรรม
"หากได้รับสำเนาคำฟ้องแล้วมีข้อเท็จจริงอันใดในคำฟ้องเป็นเท็จ ถือว่าโจทก์ในคดีนี้ร่วมกันฟ้องเท็จต่อศาล จะฟ้องกลับทันที เพื่อกระชากหน้ากากว่าบุคคลที่อ้างว่าเป็นคนดีแล้วมาฟ้องผมและสื่อมวลชน สุดท้ายจะได้รู้ว่าเป็นคนดีจริงหรือไม่ และยังเป็นการพิสูจน์ข้อเท็จจริงกัน ยืนยันว่าไม่ได้มีอคติต่อ 3 ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญหรือพรรคประชาธิปัตย์ เชื่อมั่นว่าการฟ้องจะได้มีการพิสูจน์ว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร" นายพร้อมพงศ์ กล่าว
ก่อนหน้านี้ นายจรูญ อินทจาร, นายสุพจน์ ไข่มุกด์ และนายเฉลิมพล เอกอุรุ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ได้มอบอำนาจให้ทนายความไปยื่นฟ้องนายพร้อมพงศ์, นายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ อดีตเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญ และหนังสือพิมพ์มติชน ฐานความผิดหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา
"การฟ้องครั้งนี้น่าจะเป็นการฟ้องเพื่อแก้เกี้ยว น่าจะมีจุดประสงค์เพื่อกลบเกลื่อนเรื่องคลิปฉาวที่เกิดขึ้นหวังปิดปากผมและสื่อมวลชนไม่ให้ทำหน้าที่ตรวจสอบตามรัฐธรรมนูญ คดีนี้น่าจะเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของศาลรัฐธรรมนูญที่ตุลาการ 3 คน ฟ้องนายพสิษฐ์ ซึ่งเปรียบเสมือนคนในครอบครัวเดียวกัน" นายพร้อมพงศ์ กล่าว
โฆษกพรรค พท.กล่าวว่า ตามปกติสมาชิกพรรคฝ่ายค้านและสื่อมวลชนมีหน้าที่ตรวจสอบการทำงานขององค์กรต่างๆ ตามรัฐธรรมนูญ ดังนั้นแทนที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทั้ง 3 คนจะมาชี้แจงข้อเท็จจริงกับสังคมว่า บุคคลที่ปรากฎในคลิปฉาวเป็นใบหน้าตัวเองหรือเป็นเสียงของตัวเองหรือไม่ รวมถึงคำพูดหรือข้อความที่ปรากฎในคลิปว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ แต่กลับเลือกวิธีการฟ้องคดี ซึ่งเป็นเรื่องแปลกมากในยุคปัจจุบันที่สังคมถามหาความโปร่งใส ความยุติธรรม ความตรงไปตรงมา ของทุกภาคส่วน
โฆษกพรรค พท. กล่าวว่า ตนเองพร้อมเข้าสู่การตรวจสอบของกระบวนการยุติธรรม เนื่องจาก 1.ตนเองและสมาชิกพรรคเพื่อไทยไม่ได้เป็นผู้เผยแพร่คลิปฉาวดังกล่าว 2.โจทก์ในคดีนี้กับตนเองต้องมาร่วมกันพิสูจน์ต่อศาลด้วยว่าข้อความในคลิปฉาวทั้งหมดที่กล่าวหาว่าตนเองเป็นผู้ร่วมเผยแพร่นั้นเนื้อหาความจริงเป็นอย่างไร แต่คลิปดังกล่าวปรากฎในเว็บไซต์ก่อนหน้านี้แล้ว หากบอกว่าจะเอาผิดตนเองแล้วคนที่ไปดูแล้วได้เผยแพร่ต่อ ถ้าจะเอาผิดก็มีอีกเป็นแสนเป็นล้านคน 3.กรณีที่ปรากฎในรายงานข่าวว่าตุลาการบางท่าน ระบุว่าถูกตนเองข่มขู่ขณะรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล เรื่องนี้น่าจะเป็นการจินตนาการไปเองหรือไม่ ในเมื่อไม่เคยพบหน้าเลยแล้วจะไปข่มขู่ได้อย่างไร ซึ่งจะไปพิสูจน์ในศาล
กรณีที่กล่าวหาว่าตนเองไปข่มขู่เพื่อกดดันตุลาการคนหนึ่งคนใดให้ตัดสินอย่างหนึ่งอย่างใด อยากถามว่าจะได้ประโยชน์อะไร ตนเองในฐานะทีมกฎหมายที่ติดตามคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ไปติดตามการพิจารณาคดีที่ศาลรัฐธรรมนูญทุกนัด จนไปได้รับข้อมูลความไม่ชอบของ นายทศพล เพ็งส้ม ส.ส.นนทบุรี พรรคประชาธิปัตย์ ทีมกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ที่ไปรับเอกสารนอกเขตศาลรัฐธรรมนูญ นอกเวลาทำการศาล และกรณีที่นายวิรัช ร่มเย็น ส.ส.ระนอง พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะทีมกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ ไปพบกับนายพสิษฐ์ รวมถึงเรื่องการจัดสอบเจ้าหน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญที่มีข่าวว่าโกงข้อสอบ แล้วจะไปจัดฉากได้อย่างไร ทั้งๆ ที่เรื่องเกิดมาก่อนหน้านี้นานแล้ว
"ผมแค่ได้รับรู้ข้อมูลจากสื่ออินเตอร์เน็ต แล้วอย่างนี้จะไปกดดันข่มขู่ตุลาการไปทำไม เพราะการตัดสินคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ มีองค์คณะตุลาการถึง 9 ท่าน ถ้าไปข่มขู่นายจรูญคนเดียวจะเกิดประโยชน์อะไรต่อการพิจารณาคดี" นายพร้อมพงศ์ กล่าว
โฆษกพรรค พท.กล่าวว่า ขอตั้งข้อสังเกตุว่าทำไมตั้งหลักอยู่นาน เพิ่งจะมาฟ้องตอนนี้ ลักษณะน่าจะเหมือนเตรียมการวางแผน เหมือนการกระทำของบุคคลบางคนในคลิป ถ้าหากถูกตรวจสอบก็นั่งวางแผนว่าจะแก้ตัวอย่างไร การฟ้องคดีในครั้งนี้ เชื่อมั่นในศาลสถิตยุติธรรมว่าจะตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้งหมด ว่าเรื่องใดจริง เรื่องใดเท็จ ขณะนี้ไม่รู้ว่าโจทก์กับพวกจะดิ้นรนไปทำไม น่าจะออกมาชี้แจงกับสังคมจะดีกว่า เพื่อให้การตัดสินคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า เป็นไปโดยปราศจากข้อกังขาของสังคม
"แทนที่ตุลาการจะไปพิสูจน์ข้อเท็จจริงเรื่องคลิป แต่บางคนกลับเลือกค้าความกัน แต่ไม่เป็นไรเมื่อฟ้องมาก็จะฟ้องกลับ เพื่อพิสูจน์กันในศาลว่าสิ่งที่ฟ้องมาจริงหรือไม่ อีกทั้งบุคคลิกของผมไม่เคยไปข่มขู่ใคร เพราะเป็นคนที่สมานฉันท์ปรองดอง รักธรรมชาติ ชอบฟังดนตรีรักเสียงเพลง ไม่เห็นด้วยกับความรุนแรง แล้วจะไปข่มขู่ใครได้อย่างไร ส่วนตัวยังให้ความเคารพสถาบันตุลาการ แต่ที่เป็นปัญหาตอนนี้คือบุคคลไม่ใช่องค์กร" นายพร้อมพงศ์ กล่าว
ส่วนกรณีที่มีการตั้งข้อสังเกตุว่าคดีนี้น่าจะโยงมาถึงการยื่นคำร้องให้ยุบพรรคเพื่อไทย นายพร้อมพงศ์ กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นความผิดส่วนตัวฐานหมิ่นประมาท ไม่ได้เป็นคดีการเมืองที่อาจต้องนำมาสู่การยุบพรรค และหากจะฟ้องเพื่อไม่ให้ทำหน้าที่ตรวจสอบ เมื่อเป็นนักการเมืองแล้วไม่ตรวจสอบแล้วประชาชนจะไปหวังพึ่งใคร
"พร้อมนำข้อเท็จจริงไปพิสูจน์กันในศาลหากบอกว่าผมไปโรงพยาบาลศิริราชถือเป็นเขตพระราชฐาน ที่ไปเคยไปลงนามถวายพระพรหลายครั้ง แต่ไม่เคยไปพบกับนายจรูญ ส่วนที่มีการอ้างว่าในการไปพบ โดยคนที่อยู่ในเหตุการณ์มีบุตรชายนายจรูญ ซึ่งเป็นนายทหารอยู่ด้วยและอาจนำมาเป็นพยานได้นั้นก็ขอให้เอามาก็จะได้ฟ้องเลยว่าฟ้องเท็จหรือไม่" นายพร้อมพงศ์ กล่าว