นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ แถลงผลการประชุมหลังใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงว่า หัวข้อที่ประชุมคือปัญหาเขตแดนไทย-กัมพูชาในการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ในวันที่ 22 ก.พ.2554 ที่กรุงจาร์กาตา ประเทศอินโดนีเซีย โดยมีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี มาเป็นประธาน และมีพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. และข้าราชการอาวุโส เพื่อพิจารณาเกี่ยวกับท่าทีของไทยในการประชุมในวันนั้น
โดยสรุปสั้นคือๆการดำเนินการต่อเนื่องจากมติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ(ยูเอ็นเอสซี) ที่ขอให้รัฐบาลไทยและกัมพูชาเจรจาแบบทวิภาคีกันต่อไปในประเด็นปัญหาของเขตแดน โดยมีอาเซียนเป็นพี่เลี้ยงคอยตะล่อมให้การเจรจาดำเนินการได้ ซึ่งในวันที่ 22 ก.พ. ตนยืนยันอย่างยิ่งว่าฝ่ายไทยจะใช้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่กับกัมพูชา ทั้งกรอบเจบีซี ที่มีนายอัษฎา ชัยนาม เป็นประธานฯ ส่วนกรอบจีบีซีที่มีพล.อ.ประวิตร และกรอบอาร์บีซีที่มีแม่ทัพภาค 2 เป็นผู้ดูแล
ทั้งนี้ ตนจะถือโอกาสนี้ชี้แจงว่าเรื่องกรอบเจรจาพวกนี้ในองค์รวมที่ผ่านมาเราไม่ได้นิ่งเฉยมีความคืบหน้าตลอด ฉะนั้นยังอยู่ในวิสัยที่จะดำเนินการต่อไปตามเจตนารมณ์ของยูเอ็นเอสซีและเจตนารมณ์ของฝ่ายไทยด้วย ซึ่งตนยืนยันว่าอาเซียนจะเป็นเพียงพี่เลี้ยงให้การเจรจสองฝ่ายคืบหน้าไปได้ซึ่งไม่ใช่การยกระดับของปัญหา แต่เป็นเรื่องที่ยูเอ็นเอสซีส่งกลับมาที่อาเซียน ส่วนผลเป็นอย่างไรก็จะมีการรายงานผ่านประธานอาเซียน และส่งต่อไปยังยูเอ็นเอสซีต่อไป
นายกษิต กล่าวอีกว่า ในวันที่ 22 ก.พ.ในความพร้อมของฝ่ายไทยนั้นจะขอให้ประเทศอินโดนีเซียส่งผู้สังเกตการณ์มาอยู่กับกองกำลังของฝ่ายไทยในจุดที่มีการปะทะกันเพื่อเป็นสักขีพยานว่าเราไม่ได้ทำและไม่ประสงค์ที่จะให้มีการสู้รบและไม่ได้เป็นฝ่ายยิงก่อน โดยเราหวังว่ากัมพูชาก็จะยืนยันด้วยเช่นกันในการที่จะมีตัวแทนรัฐบาลอินโดนีเซียไปอยู่ฝ่ายเขา เพื่อว่าการหยุดยิงจะเป็นการหยุดยิงที่จริงจังถาวร
นอกจากนี้นายกษิตยืนยันว่า ไม่จำเป็นต้องมีการลงนามหยุดยิงเพราะเพราะมีกลไกเจบีซี และจีบีซีอยู่แล้ว รวมทั้งมีหลายช่องทางดำเนินการ