พธม.ห่วงไทยเสียดินแดน หลังอาเซียนระบุแต่เหตุปะทะ, กังวลอินโดฯเข้ามาเป็นปท.ที่ 3

ข่าวการเมือง Wednesday February 23, 2011 13:41 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) เปิดเผยถึงกรณีการออกแถลงการณ์ของที่ประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ว่า แถลงการณ์ดังกล่าวได้กล่าวถึงการหลีกเลี่ยงการปะทะด้วยอาวุธ โดยไม่มีการกล่าวถึงการที่กัมพูชารุกล้ำดินแดนประเทศไทย และละเมิด MOU 2543 ซึ่งหากกัมพูชาไม่พอใจก็จะสามารถยึดครองแผ่นดินไทยไปได้เรื่อยๆ หรือเป็นการสูญเสียดินแดนถาวรไปแล้ว

อีกประการหนึ่งคือ การที่ที่ประชุมอาเซียนพยายามในการส่งผู้แทนจากอินโดนีเซียเข้ามาเป็นผู้สังเกตการณ์ในพื้นที่พิพาท ทำให้มีประเทศที่ 3 เข้ามา

ด้านนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรฯ กล่าวว่า เป็นการตอกย้ำให้เห็นว่าไทยสละหลักการในการผลักดันกัมพูชาออกจากดินแดนโดยแสนยานุภาพทางการทหารอย่างสิ้นเชิง เท่ากับว่ากัมพูชาซึ่งเคยเสียเปรียบบนโต๊ะการเจรจาจากแสนยานุภาพทางการทหารที่ฝ่ายไทยมีสูงกว่า แต่รัฐบาลไทยได้สละตรงนี้จนหมดสิ้น

โฆษกพันธมิตรฯ กล่าวอีกว่า การที่กัมพูชากำลังจ้างทนายเพื่อขึ้นต่อศาลโลกอีกครั้ง ซึ่งประเทศไทยได้เคยประกาศไม่ยอมรับอำนาจของศาลโลกมาตั้งแต่ปี 2505 กรณีปราสาทพระวิหาร แต่บัดนี้เมื่อมี MOU 2543 ทำให้กัมพูชาหาหนทางให้ศาลโลกตีความขยายผล เพื่อให้เป็นคุณต่อกัมพูชาจาก MOU 2543 และเมื่อมีคนกลางอย่างอินโดนีเซีย ทำให้ไทยตกอยู่ในสภาพเสียเปรียบมากยิ่งขึ้นโดยมีอาเซียนเป็นสักขีพยาน นอกจากจะถูกยึดครองโดยพฤตินัยแล้ว กัมพูชาก็จะขยายผลยึดครองพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารในเวทีมรดกโลกอีกด้วย หลังจากที่พื้นที่เขาพระวิหารพ้นจากสภาพมรดกโลกอันตรายเป็นพื้นที่สันติภาพถาวร

ดังนั้น พิสูจน์แล้วว่า MOU 2543 ไม่ได้เป็นเครื่องมือเพื่อสันติภาพอย่างแท้จริงแต่ทำให้เกิดการปะทะเพราะกัมพูชามีแรงจูงใจในการที่จะไปเวทีนานาชาติ รวมทั้งที่รัฐบาลพยายามบอกว่า MOU 2543 ไม่ได้ทำให้เดกิดการปะทะ แต่วันนี้มีประเทศที่ 3 เข้ามาสังเกตการณ์และทำรายงานส่งอาเซียนหากมีการปะทะ ทั้งๆที่ที่ผ่านมาไม่เคยมีประเทศใดสามารถเข้ามาแทรกแซงกิจการภายในได้เลย เต็มที่ได้แค่เพียงการเป็นผู้รับฟัง โดยไม่มีสิทธิ์พูดหรือออกความเห็นใดๆ

"ที่เป็นเช่นนี้ เพราะรัฐบาลไม่ยืนยันในเส้นเขตแดนของตัวเอง รวมทั้งไม่ยืนยันว่ากัมพูชารุกรานดินแดนและละเมิด MOU 2543 ทำให้ไทยไม่สามารถอ้างกฎบัตรสหประชาชาติหรืออาเซียนที่ห้ามไม่ให้อาเซียนหรือแม้แต่สหประชาชาติเข้ามาแทรกแซงกิจการภายในประเทศได้ ท้ายที่สุดนานาชาติก็กำลังเดินหน้าในการให้ไทยต้องเสียดินแดนถาวร เป็นความผิดพลาดจากการถลำลึกไปใน MOU 2543" โฆษกพันธมิตรฯ กล่าว

นายปานเทพ กล่าวด้วยว่า ปัญหาสำคัญไม่ได้เกิดจากอาเซียน แต่เกิดจากท่าทีของรัฐบาลไทยที่ไม่ยืนหยัดในเส้นเขตแดนของตัวเองทั้งในเวทีคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) และในเวทีอาเซียน ซึ่งมาจากการที่ไม่สามารถโต้แย้งความยอมรับแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 2 แสน ตาม MOU 2543 ใม่ได้ จึงยอมจำนนและใช้วิธีถ่วงเวลาแทน หรือการสมยอมกับกัมพูชา โดยไม่กล่าวถึงเรื่องเขตแดน ซึ่งไม่ทราบว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อนหรือไม่ ในส่วนแนวทางการแก้ไขนั้น เชื่อว่ารัฐบาลนี้ถลำลึกไปในปัญหาจนไม่สามารถแก้ไขได้แล้ว และจะยิ่งร้ายแรงมากขึ้น เพราะสุดท้ายกัมพูชาจะใช้เวทีศาลโลกเพื่อให้ไทยยอมรับแผนที่ 1 ต่อ 2 แสนเพียงอย่างเดียว โดยมีอาเซียนเป็นสักขีพยาน รวมทั้งการเดินหน้าในเวทีมรดกโลก

ด้าน พล.ต.จำลอง กล่าวว่า การชุมนุมรวมพลังปกป้องแผ่นดินครั้งนี้ต้องการให้รัฐบาลมาทำหน้าที่ปกป้องดินแดน แม้ยังไม่ประสบผลสำเร็จ แต่การชุมนุมก็ยังมีประโยชน์ในหลายประการ อาทิ การที่เราไม่เห็นด้วยในการให้ต่างชาติเข้ามาแทรกแซง จนทำให้เราต้องเสียดินแดนอย่างถาวร ซึ่งตรงกันข้ามกับความต้องการของทางกัมพูชาที่ไม่ต้องการให้มีการลงนามหยุดยิง เพราะอาเซียนให้อินโดนีเซียเข้ามาสังเกตการณ์แล้ว แต่รัฐบาลไทยกลับตามเกมกัมพูชาไม่ทัน ปล่อยมีประเทศที่ 3 เข้ามาแทรกแซง ซึ่งที่ผ่านมาเราพยายามเตือนรัฐบาลแล้ว กลับไปพยายามไปลงนามหยุดยิง โดยที่ไม่มีการพูดถึงผลักดันให้กัมพูชาออกจากดินแดนไทย แต่เมื่อภาคประชาชนพยายามพูดถึงผลเสียบ่อยเข้า รัฐบาลก็กลับลำทันทีบอกว่าไม่ได้ไปลงนาม ตรงนี้แสดงให้เห็นถึงประโยชน์ของการชุมนุมต่อประเทศชาติ

"เมื่อรัฐบาลไม่พยายามยืนยันในเรื่องของเส้นเขตแดน จะทำให้ไทยไม่เพียงแต่เสียดินแดน 4.6 ตร.กม.หรือ 2.8 พันไร่รอบปราสาทพระวิหารไปเท่านั้น ยังจะเสียพื้นที่ตลอดแนวชายแดนที่ติดกับกัมพูชาไปอีกถึง 1.8 ล้านไร่ รวมทั้งพื้นที่ในทะเลที่มีทรัพยากรมหาศาล ถือเป็นเรื่องใหญ่มากของประเทศ"

พล.ต.จำลอง กล่าวว่า หากรัฐบาลไม่ทำตามที่พันธมิตรฯพยายามเรียกร้องก็จะปักหลักสู้อยู่ที่นี่ ซึ่งรัฐบาลมีเพียง 3 ทางเลือก คือ 1.ทำหน้าที่ปกป้องดินแดน 2.หากไม่ทำต้องเปิดโอกาสให้คนอื่นมาทำหน้าที่แทน โดยลาออกไป และ 3.เมื่อเห็นว่าภาคประชาชนมาชุมนุมมาเปิดโปงการบริหารประเทศที่ผิดพลาดของรัฐบาล จึงจำเป็นที่ต้องสลายการชุมนุมของพวกเรา ซึ่งก็ใช้ทุกวิถีทางที่จะไล่เราออกจากตรงนี้ให้ได้

ส่วนกรณีที่ศาลยกฟ้องกรณีที่ พล.ต.จำลอง ยื่นฟ้องเรียกค่าเสียหาย 220 ล้านบาท จาก พล.ต.ท.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวนที่กล่าวหา พล.ต.จำลองว่าเป็นหัวหน้าผู้ก่อการร้ายนั้น พล.ต.จำลอง กล่าวว่า พล.ต.ท.สมยศทำตามคำสั่งของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ศาลจึงยกคำร้องไป อย่างไรก็ตามเมื่อศาลวินิจฉัยเช่นนั้น ตนจึงยื่นฟ้องสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นจำนวนเงิน 220 ล้านบาทเท่าเดิม โดยที่ศาลประทับรับฟ้องเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งหากศาลตัดสินออกมาว่าให้ชดใช้ค่าเสียหายแก่ตน ตนก็จะนำเงินไปให้องค์กรสาธารณประโยชน์ต่อไป ทั้งนี้การฟ้องดังกล่าวเพื่อต้องการให้ตำรวจทำหน้าที่ในสิ่งที่ถูกต้อง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ