นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ ได้เดินทางเข้ามารายงานผลการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนต่อนายกรัฐมนตรี โดยเป็นการรายงานทางวาจาถึงความคืบหน้าในการประสานงานกระทรวงกลาโหมและกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อเตรียมการต้อนรับทหารสังเกตการณ์จำนวน 15 คน ที่จะเดินทางมาสังเกตการณ์สถานการณ์ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา โดยประเทศอินโดนีเซียจะเป็นผู้คัดสรร
ทั้งนี้ ยืนยันว่า ทหารที่จะมาสังเกตการณ์ทั้งหมดจะไม่มีการติดอาวุธแต่อย่างใด
"ได้เดินทางมารายงาน เพื่อให้สิ่งที่ดำเนินการมีความคืบหน้า คือการประสานงานระหว่างกระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงกลาโหมว่าด้วยการต้อนรับคณะผู้สังเกตการณ์จากประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งอยากให้โอกาสที่เรามีความจำเป็นในการยืนยันที่จะหยุดยิง และป้องกันไม่ให้มีการปะทะ หรือหากมีการปะทะก็จะได้พิสูจน์ว่าใครเป็นฝ่ายเริ่มก่อน"
ทั้งนี้ รัฐบาลเคยมีประสบการณ์จากการที่ได้รับเชิญการส่งทหารสังเกตการณ์ไปยังประเทศติมอร์ตะวันออก เพื่อช่วยเหลือทางอินโดนีเซียมาก่อนหน้านี้ ซึ่งครั้งนี้อินโดนีเซียก็คงจะทำในรูปแบบเดียวกัน
ส่วนความคืบหน้าในการประชุมของคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) และ คณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ขณะนี้อยู่ระหว่างการประสานงานกับทางกัมพูชา ซึ่งในส่วนของการประชุมของ JBC ยอมรับว่าอาจจะต้องเลื่อนออกไปจากกำหนดเดิมในวันที่ 27 ก.พ.นี้ และอาจจะมีการเปลี่ยนเวทีการเจรจาตามกรอบ JBC จากประเทศไทยเป็นประเทศอินโดนีเซีย
ส่วนกรอบ GBC ทางรมว.กลาโหมกำลังติดต่อประสานงานกับกัมพูชา ซึ่งรัฐบาลจะเดินหน้าประชุม JBC เพื่อเป็นไปตามข้อเรียกร้องของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) และเป็นการตอบสนองการประชุมในเวทีรัฐมนตรีอาเซียนที่ได้มีการหารือกันก่อนหน้านี้
อย่างไรก็ตาม ไม่กังวลหากการหารือร่วมกันระหว่างไทยและกัมพูชา สมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีของกัมพูชา จะออกมาพูดหรือกล่าวหาไทยอีกจะส่งผลอย่างไรหรือไม่ แต่มั่นใจว่าเมื่อ 2 ประเทศได้มีการปรึกษากัน ถือเป็นพันธกรณีต่ออาเซียนและยังมีถ้อยแถลงของประธานอาเซียน ซึ่งถือเป็นสักขีพยานและทางไทยจะยึดเป็นแนวทางปฏิบัติ