ทนายเสื้อแดงชี้ การที่นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยอมรับต่อสาธารณชนเป็นครั้งแรกว่าถือสองสัญชาติ คือสัญชาติไทยและสัญชาติอังกฤษ ย้ำให้เห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการป้องกันการใช้ความรุนแรงกับผู้ชุมนุม
นายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม หุ้นส่วนบริษัท อัมสเตอร์ดัม แอนด์ พีรอฟฟ์ แอลแอลพี ซึ่งเป็นตัวแทนของกลุ่มคนเสื้อแดง กล่าวว่า “ตลอดระยะเวลา 24 วันที่ผ่านมา นายอภิสิทธิ์ไม่ได้แสดงความจริงใจในประเด็นเรื่องการถือสัญชาติอังกฤษ แต่กลับสร้างความสับสนด้วยการกล่าวถึงการขอวีซ่าและการออกค่าใช้จ่ายเองในการไปศึกษาที่ประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นข้อแก้ตัวที่ไม่ตรงประเด็น"
แถลงการณ์ของนายอัมสเตอร์ดัมระบุว่า กรณีเรื่องนายกฯไทยถือสองสัญชาติถูกกล่าวถึงเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 31 มกราคม ในเอกสารที่ทนายของกลุ่มเสื้อแดงยื่นต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) เพื่อขอให้มีการไต่สวนกรณีการก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติในช่วงที่ทหารปราบปรามผู้ชุมนุมเมื่อเดือนเมษายนและพฤษภาคม 2553 ทั้งนี้ สัญชาติของนายอภิสิทธิ์เกี่ยวเนื่องกันกับกรณีที่เกิดขึ้น เนื่องจากหลักฐานในคำฟ้องที่ระบุว่า นายอภิสิทธิ์เป็นบุคคลสัญชาติอังกฤษ ซึ่งสหราชอาณาจักรเป็นภาคีของสนธิสัญญากรุงโรม ดังนั้นคำฟ้องจึงเข้าเงื่อนไขเรื่องเขตอำนาจศาล ICC ตามมาตรา 12.2 (บี) ของสนธิสัญญากรุงโรม
การเปลี่ยนแปลงท่าทีอย่างฉับพลันของรัฐบาลถือเป็นจุดสำคัญ นายอัมสเตอร์ดัมกล่าว “ถ้าพวกเขาไม่สามารถพูดความจริงเกี่ยวกับข้อเท็จจริงเล็กๆ เพียงข้อเดียว แล้วคนไทยจะคาดหวังให้พวกเขามาดูแลเรื่องความยุติธรรมได้อย่างไร"
ยิ่งไปกว่านั้น นายอัมสเตอร์ดัมยังเปรียบเทียบกรณีนี้กับการใช้ความรุนแรงกับผู้ชุมนุมทั่วโลก รวมถึงการชุมนุมล่าสุดในตูนิเซีย อียิปต์ บาห์เรน และลิเบีย “นี่เป็นคดีสำคัญที่มีหลักฐานแน่นหนา และเปิดโอกาสให้ประชาคมโลกได้แสดงให้เห็นว่า บรรดานักเผด็จการและผู้นำเผด็จการจะต้องรับผิดชอบที่ใช้ความรุนแรงต่อประชาชนของตนเอง และเพราะมีการปราบปรามอย่างน่ารังเกียจและมีผู้เสียชีวิตจำนวนมากจากการเรียกร้องประชาธิปไตยในโลกอาหรับในปัจจุบัน เราจึงจำเป็นต้องเผยแพร่ข้อมูลนี้ในขณะนี้"