นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ เลขาธิการสมัชชาประชาชนแห่งประเทศไทย และพวก ร่วมกันเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) เป็นจำเลยที่ 1-2 โดยขอให้ศาลมีคำสั่งให้ประกาศและข้อกำหนดทุกฉบับที่ออกตาม พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงในราชอาณาจักร ที่เริ่มตั้งแต่วันที่ 9-23 ก.พ.54 เป็นโมฆะ
โจทก์บรรยายฟ้องว่า พฤติกรรมของจำเลยทั้ง 2 แสดงให้เห็นว่ามีลักษณะเป็นการร่วมกันทำ โดยแบ่งงานกันทำเป็นขั้นเป็นตอน โดยจำเลยที่ 1 ทราบดีว่าในช่วงที่มีการประกาศและมีข้อกำหนดดังกล่าวยังไม่มีเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักรถึงขนาดกับต้องมีมาตรการป้องกัน ปราบปราม ยับยั้งหรือบรรเทาเหตุการณ์ที่กระทบต่อความมั่นคง อีกทั้งข้อกำหนดไม่ชอบด้วยกฏหมาย เพราะยังไม่มีเหตุการณ์ที่กระทบต่อความมั่นคง
นอกจากนี้ การกระทำของจำเลยทั้ง 2 มุ่งประสงค์ที่จะสกัดกั้น ยับยั้งไม่ให้ประชาชนเข้าร่วมชุมนุมกับกลุ่มเครือข่ายประชาชนหัวใจรักชาติ ซึ่งเท่ากับว่าจำเลยทั้ง 2 จงใจจำกัดสิทธิเสรีภาพในการเข้าร่วมชุมนุมโดยสงบ
ท้ายคำฟ้องโจทก์ขอให้ศาลไต่สวนฉุกเฉิน และขอให้มีคำพิพากษา หรือคำสั่งว่าประกาศเรื่องห้ามบุคคลเข้า-ออก สถานที่ที่กำหนด และเรื่องการใช้เส้นทางคมนาคมหรือยานพาหนะที่ออกโดยจำเลยที่ 2 เป็นโมฆะ และห้ามไม่ให้จำเลยที่ 2 ออกกฎ หรือคำสั่ง ที่อาศัย พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงในราชอาณาจักร
นายไชยวัฒน์ กล่าวว่า เมื่อวานนี้(24 ก.พ.) ได้ถอนฟ้องไปก่อนเนื่องจากประกาศตาม พ.ร.บ.มั่นคง ฉบับดังกล่าวได้หมดสภาพบังคับใช้ไปแล้วจึงต้องยื่นฟ้องใหม่ โดยได้ปรับปรุงคำฟ้องให้ตรงกับข้อเท็จจริง และเหตุการณ์ต่างๆ
นอกจากนี้ ตนเองพร้อมด้วย ม.ล.วัลย์วิภา จรูญโรจน์ และนายปรีชา สมความคิด น้องชายของนายวีระ สมความคิด จะเดินทางเข้าพบผู้อำนวยการสำนักงานประจำภูมิภาคกาชาดสากล เพื่อร้องขอให้ช่วยเหลือกรณีการเข้าเยี่ยมนายวีระ และ น.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ ซึ่งถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำที่ประเทศกัมพูชา เพื่อไปรับฟังคำยืนยันจากบุคคลทั้ง 2 ว่ายังประสงค์อุทธรณ์คดีต่อศาลกัมพูชาต่อไปหรือไม่