นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย(พท.)เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีปรับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และนายถาวร เสนเนียม รมช.มหาดไทย ออกจากตำแหน่ง หลังประสบความล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เนื่องจากยังคงมีสถานการณ์รุนแรงรายวันอย่างต่อเนื่อง
"ที่รัฐบาลบอกตอนหาเสียงเลือกตั้งว่ารู้ปัญหาจริง เป็นการโกหกทั้งเพ...ควรปรับเปลี่ยนตัวรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงเป็นคนอื่น รวมทั้งควรปรับนายถาวร เสนเนียม รมช.มหาดไทย ด้วยเช่นกันเพราะแก้ไขปัญหาภาคใต้ล้มเหลวซ้ำซาก" นายพร้อมพงศ์ กล่าว
ส่วนกรณีที่มีการปรับลดจำนวนวันอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลนั้น นายพร้อมพงศ์ กล่าวว่า ผลโพลล์ที่พรรคทำออกมาระบุว่าส่งผลเสียต่อรัฐบาล ซึ่งเชื่อว่าเป็นข้อตกลงร่วมของแกนนำพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) และพรรคภูมิใจไทย(ภท.)
"รัฐบาลบริหารมา 2 ปี ประมาทฝ่ายค้านว่าไม่มีข้อมูลเด็ดๆ วันนี้ได้สะท้อนให้เห็นว่าไม่บรรจุญัตติโดยอ้างว่ามีลายเซ็น 5 ส.ส.พรรคเพื่อไทยไม่ตรงนั้น เพียงต้องการยื้อเวลาออกไป แต่สุดท้ายนายกรัฐมนตรีคงตกใจกับข้อมูลกรณีบริษัทบุหรี่ ที่รัฐบาลไปเอื้อในการเลี่ยงภาษีให้เอกชนเป็น 6.8 หมื่นล้านบาทนั้นจริงหรือไม่"นายพร้อมพงศ์ กล่าว
โฆษกพรรค พท. กล่าวว่า การแก้ไขปัญหาราคาข้าวตกต่ำของรัฐบาลนั้นเกิดความผิดพลาดเรื่องนโยบายประกันราคาข้าว เพราะรัฐบาลปรับราคาขึ้นเป็น 11,000 บาท/ตัน เหมือนเป็นการเลี้ยงไข้มากกว่า เพราะไม่เพียงพอต่อการแก้ปัญหา และเชื่อว่าจะมีการประท้วงของชาวนาต่อไป เพราะราคาไม่คุ้มทุน ไม่เพียงพอกับต้นทุนที่ชาวนาต้องเช่าที่นาอย่างแน่นอน การแก้ปัญหาเหมือนจะไปเอื้อประโยชน์ให้นายทุนมากกว่า
ด้าน นายวิม รุ่งวัฒนจินดา รองโฆษกพรรค พท. กล่าวว่า เรื่องสต๊อกข้าว 5 ล้านตันที่รัฐบาลโดยกระทรวงพาณิชย์ไปเปิดประมูลให้บริษัทที่เป็นผู้ส่งออกข้าว 5 รายในราคาต่ำ และมีการระบายข้าวออกไปต่างประเทศเพียง 5 แสนตัน ยังเหลืออีก 4.5 ล้านตัน ทำให้ราคาข้าวในประเทศตกต่ำ ซึ่งต้องไปดูว่ามีการเอื้อผลประโยชน์กับบริษัทเอกชนที่อิงกับการเมืองหรือไม่ เพราะหากรัฐบาลขายข้าวระหว่างรัฐบาลกับรัฐบาล เช่น อินโดนีเซีย ก็จะทำให้ขายข้าวได้ราคากว่านี้ แต่เอกชนที่ประมูลข้าวไปกลับไม่ขายออกไปต่างประเทศ แต่เก็บไว้เพื่อรอราคาข้าวของตลาดโลกขึ้น โดยตั้งข้อสังเกตว่าผู้ที่เก็บสต็อกข้าวไว้หวังหาเงินทุนมาใช้ในการหาเสียงเลือกตั้งสมัยหน้า
ส่วนปัญหาสินค้าราคาแพง โดยเฉพาะน้ำมันปาล์มนั้นปัญหายังไม่หมดไป เพราะปริมาณในท้องตลาดยังไม่เพียงพอ สวนทางกับที่รัฐบาลออกมาให้สัมภาษณ์ นอกจากนี้ยังพบว่ามีสินค้าอีกหลายรายการได้ปรับราคาตัวสูงขึ้น 15-20% เช่น ข้าวราดแกง ขึ้นเป็นจานละ 30-40 บาท ถ้าเพิ่มไข่ต้มหรือไข่เจียว, ก๋วยเตี๋ยวปรับขึ้นเป็น 30-35บาท, ปลากระป๋องปรับขึ้นจาก 14 บาท เป็น 16 บาท, ข้าวสารหอมมะลิปรับขึ้นจาก 198 บาทเป็น 210 บาท/ 5 กก., น้ำปลาปรับขึ้นจาก 20 บาท เป็น 25 บาท, กระทิกล่องปรับจาก 30 บาท เป็น 60-70 บาท/กก., มะขามเปียกไม่แกะเม็ดจาก 30 บาท เป็น 80-100 บาท/กก., น้ำตาลทรายจาก 23.50 บาท เป็น 26-28 บาท/กก.
"สินค้าที่ปรับราคาขึ้นยังไม่รวมผลกระทบราคน้ำมันที่ปรับราคาสูงขึ้น ทราบว่าผู้ประกอบการสินค้ารายใหญ่ได้ทำหนังสือขอให้ปรับราคาสินค้าไปยัง รมว.พาณิชย์ คาดว่าจะให้ผู้ประกอบการมีการปรับราคาในสิ้นเดือนมีนาคมนี้ จะทำให้ราคาสินอุปโภคบริโภคจะมีการปรับราคาขึ้นอีกประมาณร้อยละ 20" นายวิม กล่าว
นายพร้อมพงศ์ กล่าวว่า การที่เจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบและจับกุมผู้กระทำผิดเป็นเพียงพวกปลาซิวปลาสร้อย แต่ปล่อยให้ ส.พ.อ.ยังหากิน และกินกันจนอ้วน นอกจากนี้ให้จับตาหลังจากมีการขึ้นเงินเดือนข้าราชการในเดือนเมษายนนี้แล้วคาดว่าราคาสินค้าจะปรับราคาขึ้นอีก ถึงเวลานั้นประชาชนทั่วไปรากหญ้าจะได้รับผลกระทบอีกมากมาย