ณ มหาศาลาประชาชน ทางตะวันตกของจัตุรัสเทียนอันเหมิน ในกรุงปักกิ่ง นับตั้งแต่ต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา (5 มีนาคม) บรรยากาศโดยรอบดูจะสับสนอลหม่านประหนึ่งมีการชุมนุมจ้าวยุทธจักรจากทั่วทั้งยุทธภพ เมื่อการประชุมสภาประชาชนแห่งชาติจีน (National People's Congress หรือ NPC) หรือรัฐสภาจีนประจำปี 2554 เปิดฉากขึ้นอย่างเป็นทางการ ท่ามกลางมาตรการรักษาสงบเรียบร้อยของเจ้าหน้าที่ตำรวจกว่าแสนชีวิต
สมาชิกสภาประชาชนแห่งชาติของจีน หรือ "สภาตรายาง" ที่ประกอบไปด้วยผู้แทนราว 3,000 คนจากการคัดเลือกเพื่อเป็นตัวแทนในกลุ่มต่างๆ ทั้งสภาท้องถิ่น และหน่วยงานของรัฐประจำมณฑล ทหาร คนงาน ชาวนา ชนกลุ่มน้อย และผู้แทนประชาชนจากแต่ละภูมิภาค รวมทั้งจากเขตปกครองพิเศษฮ่องกง มาเก๊า และไต้หวัน ต่างมารวมตัวกันตลอดระยะเวลาการประชุมที่จัดขึ้นเป็นเวลา 10 วัน (5 - 14 มีนาคม) โดยมีวาระใหญ่ที่ต้องประทับตรารับรอง นั่นคือ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ระยะเวลา 5 ปี ฉบับที่ 12 (2554 - 2558)
นายกรัฐมนตรีเหวิน เจียเป่า ในฐานะ "จ้าวสำนักระดับปรมาจารย์" ผู้ดำรงตำแหน่งประธานการประชุมครั้งนี้ได้กล่าวสุนทรพจน์ในโอกาสเปิดการประชุมประจำปีท่ามกลางการจับตาของนานาประเทศ เนื่องจากมองว่า การกล่าวสุนทรพจน์ของนายกรัฐมนตรีเหวิน เจียเป่า มีความสำคัญเทียบเท่าการแถลงนโยบายประจำปี (State Of the Union) ของประธานาธิบดีสหรัฐเลยทีเดียว
ในวันนี้ (9 มีนาคม) การประชุมสภาประชาชนของจีนได้ดำเนินมาถึงครึ่งทางและมีความคืบหน้าเกิดขึ้นมากมาย ทั้งการออกแถลงการณ์และนโยบายเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการกรำศึกหนักทั้งฝ่าย "บู๊" (กองทัพ) และฝ่าย "บุ๋น" (รัฐบาล) เริ่มตั้งแต่การเพิ่มงบประมาณกลาโหม การประกาศเพิ่มแสนยานุภาพและความทันสมัยของกองทัพ การรับมือกับภาวะเงินเฟ้อ และการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
ณ โอกาสนี้ In Focus ขอนำทุกท่านร่วมเปิดคัมภีร์วิชาของการประชุมสภาประชาชนแห่งชาติจีนภายใต้การนำของท่านปรมาจารย์เหวิน เจียเป่า ที่มีเรื่องราวชวนติดตามไม่แพ้วรรณกรรมกำลังภายในจากปลายปากกาของนักประพันธ์ชั้นครูอย่างกิมย้งหรือท่านโกวเล้ง
กระบี่เย้ยยุทธจักร: จีนเพิ่มความแข็งแกร่งทางกองทัพ - อัพงบกลาโหม
หากกระบี่เย้ยยุทธจักร คือ นวนิยายกำลังภายในขายดีที่สร้างความประทับใจให้ผู้ชมทั่วโลก ข่าวการเพิ่มงบประมาณกลาโหมของจีนประจำปี 2554 ก็กำลังทำให้หลายประเทศทั่วยุทธภพต้องหันมามองจีนเป็นตาเดียว
เหตุเพราะฝ่ายบู๊ออกตัวแรงแซงหน้าฝ่ายบุ๋นไปแบบเต็มที่ไม่มีกั๊ก ด้วยการปรับเพิ่มงบประมาณด้านกลาโหมถึง 12.7% สู่ระดับกว่า 6 แสนล้านหยวน หรือคิดเป็น 6% ของงบประมาณแห่งชาติ โดยมีท่านปรมาจารย์เหวิน เจียเป่า ประกาศกร้าวในการเปิดประชุมสภาประชาชนแห่งชาติว่า จีนจะสร้างกองทัพที่มีแสนยานุภาพเพื่อเป็นหลักประกันการปกป้องอธิปไตยในประเทศ
สำหรับการฝึกวิทยายุทธ์ในกองทัพนั้น จีนลั่นจะปรับกำลังทหารให้มีความแข็งแกร่งและทันสมัย ซึ่งความเคลื่อนไหวดังกล่าวทำให้หลายประเทศออกอาการขวัญหนีดีฝ่อ โดยเฉพาะไต้หวันที่หวั่นเกรงว่า งบประมาณทางทหารที่รัฐบาลจีนสั่งเพิ่มนั้นอาจนำไปสู่การใช้กำลังบุกเข้ายึดครองดินแดนเพื่อบังคับให้ไต้หวันกลับไปอยู่ใต้อาณัติของจีนอีกครั้งก็เป็นได้ ขณะที่รัฐบาลแห่งแดนซามูไร ที่เคยมีกรณีพิพาทเรื่องน่านน้ำทะเลจีนใต้มองว่า การเพิ่มงบประมาณทางการทหารแสดงให้เห็นว่า จีนยังคงมุ่งเน้นการใช้กำลังแก้ไขปัญหาโดยไม่สนใจการเจรจาระหว่างประเทศ
อย่างไรก็ตาม นายหลี่ จ้าวชิง โฆษกสภาประชาชนจีนออกมาแก้ต่างว่า แม้งบประมาณด้านการทหารของรัฐบาลจีนจะปรับตัวสูงขึ้น แต่ก็ยังไม่อาจเทียบเท่ากับงบประมาณการทหารกว่า 5 แสนล้านดอลลาร์ที่รัฐบาลสหรัฐอนุมัติไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา พร้อมยืนยันว่าการเสริมสร้างแสนยานุภาพทางทหารของจีนไม่มีเจตนาคุกคามประเทศอื่นใดแม้แต่น้อย
ฟง (เ)หวิน ขี่พายุทะลุฟ้า: จีนเปิดตัวเครื่องบินจารกรรมล่องหน เจ-20
ดูเหมือนว่า ณ เวลานี้ ท่านปรมาจารย์เหวิน เจียเป่า จ้าวสำนักจีนกำลังแผ่ขยายอิทธิพลจากพื้นราบขึ้นสู่ห้วงอวกาศอันไกลโพ้น เมื่อจีนประกาศเปิดตัวเครื่องบินรบรุ่นไร้พลขับ รวมถึงเครื่องบินขับไล่แบบลดการตรวจจับด้วยเรดาร์ เจ-20 ที่จีนคิดค้นและพัฒนาขึ้นเองเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา อีกทั้งยังมีกำหนดเปิดตัวเรือรบลำเลียงกำลังพลและอาวุธหนักภายในปีนี้ เร็วกว่าที่พญาอินทรีประเมินไว้ถึง 1 ปีเต็ม และทั้งหมดนี้ก็เป็นไปตามเจตนารมณ์ในการเดินหน้าปฏิรูปกองทัพให้มีขีดความสามารถด้านการสู้รบที่ทันสมัยของจีนภายในปี 2563
ความคืบหน้าด้านการพัฒนาฝูงบินของพญามังกรร้อนไปถึงสำนักงานเพื่อความมั่นคงทางอวกาศแห่งชาติของสหรัฐ (National Security Space Strategy หรือ NSSS) ที่ล่าสุดได้ออกมาเปิดเผยรายงานยุทธศาสตร์ระยะ 10 ปีโดยพุ่งเป้าไปที่ความวิตกกังวลต่อกรณีที่จีนกำลังพัฒนาอาวุธยุทโธปกรณ์เพื่อปฏิบัติการโต้ตอบในห้วงอวกาศ ซึ่งสามารถก่อกวนสัญญาณ และทำลายดาวเทียมได้
นายซู กวนอี้ว์ นักวิจัยอาวุโสของสมาคมควบคุมและปลดอาวุธแห่งจีน (China Arms Control and Disarmament Association) ในกรุงปักกิ่งออกมาสำทับถึงการยกระดับแสนยานุภาพด้านกองทัพอากาศว่า กองกำลังทางอากาศและทางเรือของจีนจะมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ขณะที่กองกำลังภาคพื้นดินของจีนซึ่งปัจจุบันมีอยู่ 60% ของกำลังพลทั้งหมดในกองทัพนั้นจะถูกปรับลดลงเหลือ 50% ส่วนการเพิ่มงบประมาณกลาโหมของจีนจะสอดคล้องกับการเติบโตของจีดีพีในช่วง 5 ปีข้างหน้า แต่ถึงกระนั้นบริษัทที่ทำธุรกิจด้านกลาโหมประเทศของจีนจะยังไม่สามารถยกระดับตัวเองขึ้นมาทาบรัศมีกับบริษัทล็อกฮีด มาร์ติน และบริษัทโบอิ้งของสหรัฐได้อย่างแน่นอน
วิ่ง สู้ ฟัด: จีนงัดมาตรการสกัดจุดเงินเฟ้อ
ยุทธภพต้องจดจำและยุทธจักรต้องจารึก เมื่อถึงยุคที่การขยายตัวทางเศรษฐกิจแบบ "วิ่ง สู้ ฟัด" ได้ทำให้เหล่าจอมยุทธ์ในดินแดนแห่งม่านไม้ไผ่เขี่ยเหล่าซามูไรจากแดนซากุระไปให้พ้นทาง ก่อนที่จีนจะขึ้นคว้าตำแหน่งมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอันดับ 2 ของโลกมาครองได้ในปี 2553
ทว่า ล่าสุด ป้าย "ขึ้นราคา" ได้กลายเป็นของแสลงตาชาวจีนในยามที่ภาวะเงินเฟ้อพุ่งสูงถึง 4.9% ในเดือนม.ค.ที่ผ่านมา ขณะที่หลายประเทศมองว่าการหามาตรการควบคุมเงินเฟ้อนั้นอาจทำได้ยากยิ่งกว่าการออกหาบัวหิมะพันปีที่ยอดเขาเหลียงซาน แม้ว่าธนาคารกลางจะออกมาตรการขึ้นดอกเบี้ยทันที หลังจากที่ประทัดฉลองเทศกาลตรุษจีนสิ้นเสียงลง
ราคาอาหาร ราคาบ้าน และราคาเครื่องยังชีพอื่นๆ ที่แพงหูฉี่กลายเป็นปัญหาหลักที่รัฐบาลกำลังวิตกกังวล โดยผู้นำจีนต่างเฝ้าระวังว่า ปัญหาเหล่านี้อาจถูกใช้เป็นข้ออ้างในการก่อเหตุความไม่สงบ เหมือนกับสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ ในขณะที่ดินแดนแห่ง "ดงดอกเหมย" กำลังกลายพันธุ์ไปสู่ปรากฎการณ์ "ปฏิวัติดอกมะลิ" ที่ออกอาละวาดบนโลกไซเบอร์ ก่อนที่ทางการจะเซ็นเซอร์การเสิร์ชคำค้นว่า "มะลิ" บนอินเทอร์เน็ตเอาไว้ได้อย่างทันควัน
กลับมาที่ประเด็นเงินเฟ้อซึ่งเป็นหัวข้อสำคัญในการประชุมสภาประชาชนแห่งชาติจีนประจำปีนี้กันต่อ โดยนายจาง ผิง ประธานคณะกรรมาธิการปฏิรูปประจำรัฐบาลจีนเปิดเผยผลประเมินภาพรวมของอัตรการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในประเทศเมื่อวันที่ 6 มีนาคมที่ผ่านมาว่า รัฐบาลจีนสามารถควบคุมอัตราเงินเฟ้อให้ชะลอตัวลงได้สำเร็จช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา แต่นักวิเคราะห์จากซีกโลกตะวันตกแย้งว่า ราคาน้ำมัน ราคาอาหาร และค่าครองชีพในจีนยังทะยานสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม ท่านปรามาจารย์เหวิน เจียเป่ากล่าวว่า รัฐบาลจีนตั้งเป้าควบคุมเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับ 4% พร้อมกำหนดเป้าหมายการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ 8% หลังจากเมื่อปีที่แล้วเศรษฐกิจจีนโตเร็วถึง 10.3%
มังกร"หยก": จีนผุดนโยบายสีเขียว
ในยามที่กระแส Go Green ยังคงมาแรง การกำหนดแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ระยะ 5 ปี ฉบับที่ 12 (2554—2558) ไว้ในคัมภีร์วิทยายุทธ์ของจีนจึงต้องมีประเด็นสิ่งแวดล้อมเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างเลี่ยงไม่ได้ โดยหัวใจหลักของแผนพัฒนาฉบับนี้จะเบนเข็มนโยบายจากการมุ่งสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจแบบติดจรวดที่ทำให้สิ่งแวดล้อมถูกทำลายไปมากต่อมาก ไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น พร้อมกระจายความร่ำรวยอย่างเป็นธรรมและทั่วถึง ตลอดจนลดพึ่งพาการส่งออกและหันมากระตุ้นอัตราการบริโภคภายในประเทศแทน โดยจีนหวังว่านโยบายดังที่กล่าวมาจะทำให้พญามังกรธรรมดาเติบโตอย่างยิ่งใหญ่กลายเป็นพญามังกรหยก ที่มีสีเขียวสดงดงามอย่างไร้ที่ติ
เมื่อปีที่ผ่านมา มังกรหยกได้ยืดอกยอมรับแบบแมนๆ ว่า จีนเป็นประเทศที่ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศมากที่สุดในโลก ขณะที่ตัวเลขสำนักงานข้อมูลพลังงานแห่งชาติของสหรัฐยืนยันว่าระหว่างปี 2549—2552 จีนปล่อยก๊าซคาร์บอนได้ออกไซด์เพิ่มขึ้นถึง 32.5%
อย่างไรก็ตาม ในปีนี้ ปรมาจารย์และเหล่าจอมยุทธ์จากสำนักพรรคคอมมิวนิสต์จีนต้องออกประลองยุทธ์เพื่อพิชิตความท้าทายในการกระตุ้นเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ที่มีเป้าหมายจะรักษาความเป็นมหาอำนาจอันดับ 2 ของโลกให้คงอยู่ ควบคู่กับการรักษาสิ่งแวดล้อมไปพร้อมๆ กัน
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีเหวิน เจียเป่า ได้ลั่นวาจาต่อหน้าจอมยุทธ์ในสำนักว่า จีนจะไม่จับสิ่งแวดล้อมมาเป็นตัวประกันเพื่อทำให้เศรษฐกิจขยายตัวอย่างรวดเร็วอีกต่อไป ด้วยเห็นว่าการกระทำเยี่ยงนั้นไม่ใช่แนวทางที่ทำให้เศรษฐกิจขยายตัวได้อย่างยั่งยืน ซึ่งที่ผ่านมาจีนได้ดำเนินการด้านสิ่งแวดล้อมไปแล้วหลายโครงการ ทั้งโครงการพัฒนาพลังงานสะอาด รวมถึงการสั่งปิดโรงงานที่ไม่ได้มาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมหลายพันแห่งทั่วประเทศ และในอีก 5 ปีนับจากนี้จีนจะเน้นลดการบริโภคพลังงานต่อหน่วยของจีดีพีลงมาอยู่ระหว่าง 40—45%
คัมภีร์วิทยายุทธ์ของฝ่ายบู๊และฝ่ายบุ๋นที่จีนประกาศออกมาในระยะนี้อาจเป็นเพียงเศษเสี้ยวของมาตรการที่บรรจุอยู่ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ระยะ 5 ปี ฉบับที่ 12 เท่านั้น และอีกครึ่งทางนับจากวันนี้ การประชุมสภาประชาชนแห่งชาติจีนประจำปีจะยังคงเดินหน้าต่อไป ในขณะที่ทั่วยุทธภพจะยังคงเฝ้ามองว่าพญามังกรจะเสาะหาคัมภีร์วิชาอะไรใหม่ๆ มาให้โลกต้องตะลึง