นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) ยอมรับว่าการที่พรรคชาติไทยพัฒนา(ชทพ.) และพรรคภูมิใจไทย(ภท.) ร่วมลงสัตยาบันจะจับมือกันหลังการเลือกตั้งจะเพิ่มอำนาจต่อรองในการจัดตั้งรัฐบาลมากขึ้น ส่วนจะเป็นตัวแปรที่จะตัดสินว่าพรรคการเมืองไหนจะได้จัดตั้งรัฐบาลนั้น คงต้องขึ้นอยู่กับผลการเลือกตั้ง
"รวมกันแล้วมันใหญ่ขึ้น ก็มีความหมายมากขึ้นเรื่องดุลอำนาจ…แต่ขึ้นอยู่กับผลการเลือกตั้ง วันนี้ไม่มีใครพูดได้ว่าใครใหญ่ ใครกลาง ใครเล็ก" นายอภิสิทธิ์ กล่าว
ส่วนกรณีที่พรรคชาติไทยพัฒนาและพรรคภูมิใจไทยเลือกจับกันเอง แต่ไม่ประกาศจับมือกับพรรคประชาธิปัตย์จะมีนัยอะไรหรือไม่นั้น นายกรัฐมนตรี บอกว่าต้องกลับไปถามทั้ง 2 พรรคเอง แต่โดยส่วนตัวคิดว่าไม่มีอะไร เพราะเป็นสิทธิของแต่ละพรรค ซึ่งประชาธิปัตย์เองเคยตั้งรัฐบาล แต่หลังเลือกตั้งเสร็จ พรรคร่วมก็ไปร่วมกับพรรคอื่น ก็เป็นไปตามกระบวนการปกติ
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีไม่เห็นด้วยที่มีบางฝ่ายพูดล่วงหน้าว่าจะไม่ยอมรับผลการเลือกตั้ง ซึ่งถ้าหากผลการเลือกตั้งออกมาด้วยความสุจริตเที่ยงธรรมทุกฝ่ายควรจะยอมรับ
"ถ้าการเลือกตั้งสุจริตเที่ยงธรรม จะไม่ยอมรับคงไม่ได้ ไม่เช่นนั้นจะพูดว่ายึดมั่นระบอบประชาธิปไตยได้อย่างไร คนที่อ้างว่าเป็นนักประชาธิปไตยแต่ไม่ยอมรับผลการเลือกตั้งที่บริสุทธิ์เที่ยงธรรม ก็ไม่รู้จะเป็นอย่างไร" นายอภิสิทธิ์ กล่าว
นายอภิสิทธิ์ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่า ไม่ทราบถึงคำพูดของนายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ และแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ที่กล่าวบนเวทีพันธมิตรฯ ว่าในอีก 10 วันข้างหน้าจะมีความชัดเจนว่าจะไม่มีการเลือกตั้ง แต่ได้เรียกร้องให้นายสมเกียรติ แสดงจุดยืนทางการเมืองให้ชัดเจนหากเห็นว่าแนวทางของพรรคไม่ถูกต้อง
"ผมก็ยังไม่มีโอกาสได้คุยด้วย แต่ถ้านายสมเกียรติเห็นว่าแนวทางของปชป.ไม่ถูกต้อง ก็ควรจะแสดงจุดยืนทางการเมืองให้ชัดเจนไปเลย เพราะนายสมเกียรติ เป็นส.ส.ระบบสัดส่วน ถึงลาออกไปก็ไม่ต้องเลือกตั้งซ่อม" นายอภิสิทธิ์ กล่าว