นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ชี้แจงโต้ตอบนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ส.ส.สัดส่วนพรรคเพื่อไทย ในฐานะหัวหน้าทีมอภิปรายของพรรคเพื่อไทยว่า ไม่คิดว่าท่านมิ่งขวัญจะมีความแค้นกับผม เพราะท่านบอกว่าท่านอภิปรายด้วยไมตรี โดยข้อเท็จจริงวันนั้นผมก็ตอบท่านด้วยไมตรี ไม่นึกว่าจะเป็นความแค้น ถ้ามีความแค้นที่เกิดขึ้นก็คงต้องบอกว่าไม่ได้เกิดขึ้นจากผม เกิดขึ้นจากความจริงที่ผมได้นำเสนอ
วันนี้ผมจะไม่ใช้คำเดิมที่ว่า"ท่านซุกซนกับตัวเลข" แต่ผมต้องใช้ว่าข้อมูลของท่านก็ยังเป็นข้อมูลที่มีการตกแต่งหรือตัดตอน เพราะข้อเท็จจริงที่จะต้องมีการดำเนินการต่อไปคือการมาดูภาพรวมอย่างชัดเจน ท่านอภิปรายไว้ 5 ประเด็น ประเด็นสุดท้ายคือเรื่องปัญหาการกู้และปัญหาหนี้สิน ตัวเลขถูก แต่วิธีการนำเสนอ การใช้เหตุผลประกอบ หรือการชวนให้คนคิดไปสู่ข้อสรุปที่ไม่ตรงข้อเท็จจริง คือปัญหาที่จำเป็นจะต้องพูดกัน และผมดีใจว่าวันนี้ท่านพูดชัดเจนว่าท่านพูดในฐานะที่ท่านเสนอตัวเป็นนายกรัฐมนตรี เราก็จะได้เปรียบเทียบแนวคิด หลักการ วิสัยทัศน์ ในการบริหารประเทศ
เรื่องที่ท่านพูดมาทั้งหมดเป็นเรื่องที่มีความสำคัญทั้งสิ้น เพียงแต่ไม่ได้อภิปรายครอบคลุมไปถึงประเด็นอื่นๆ ที่เพื่อนสมาชิกฝ่ายค้านยื่นญัตติมาและเป็นเรื่องหลักในการถอดถอนผม ก็คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้ว
"ในฐานะที่ท่านจะเสนอตัวเป็นนายกรัฐมนตรี ท่านก็ควรมีจุดยืนที่ชัดเจนเช่นเดียวกันว่า ท่านมีความคิดอย่างไรต่อการปลุกระดมให้เกิดการเผาบ้านเผาเมือง ท่านมีความคิดอย่างไรกับการที่มีความพยายามจะเอาข้อมูลมาสร้างความแตกแยกเพิ่มเติมในสังคม เพราะผมเชื่อว่านี่คือส่วนหนึ่งของวิสัยทัศน์ของนายกรัฐมนตรีที่จะมีความสำคัญมากในการบริหารประเทศต่อไป"
สำหรับ 5 เรื่องหลักที่กล่าวว่า เรื่องแรก เรื่องหนี้สินและเรื่องการกู้เงิน ท่านพยายามพูดว่าผมในฐานะนายกรัฐมนตรี กู้มากที่สุด เปรียบเทียบเป็นปีได้เหรียญทอง เหรียญเงิน เหรียญทองแดง แต่ไม่รู้จักวิธีการหาเงิน ทำไมไม่เอาตัวเลขการหาเงินเข้าประเทศเรื่องการส่งออกกับการท่องเที่ยวมาให้ประชาชนทราบว่า ปี 2553 ที่ผ่านมา การท่องเที่ยวมีตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างประเทศเข้ามาประเทศไทยสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ ทำไมไม่พูดบ้างว่าตัวเลขของการส่งออก เป็นตัวเลขที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์เช่นเดียวกัน การหารายได้เข้าประเทศ ถ้าดูจากบัญชี การส่งออกและการบริการก็มีรายได้สูงที่สุดในประวัติศาสตร์เช่นเดียวกัน
"ท่านเอาที่ไหนมากล่าวหาว่ารัฐบาลนี้ไม่หารายได้ และท่านต้องเข้าใจดีอยู่แล้วว่าตัวเลขจะเป็นงบประมาณ จะเป็นรายได้ จะเป็นการส่งออก การท่องเที่ยว หนี้สิน มันเติบโตของมันตามลำดับ โดยธรรมชาติ ถ้าเอาเรื่องของการหารายได้มาบอกเหรียญทอง เหรียญเงิน เหรียญทองแดง ผมก็ได้หมดสิคับ แต่ท่านไม่พูด ท่านพูดให้เกิดความเข้าใจว่ามันเป็นเฉพาะเรื่องหนี้สิน การกู้เงิน ไม่ใช่ครับ และตัวเลขที่ท่านพูดวันนี้ก็สะท้อนวิสัยทัศน์ที่ต่างกันระหว่างท่านกับผม ผมบริหารประเทศ ผมทราบดีว่าไม่เหมือนบริหารธุรกิจ ตัวเลขการขาดดุลรายได้ ตัวเลขการตัดสินใจการกู้ยืมเงินของรัฐบาลมันคิดแบบธุรกิจไม่ได้ วิสัยทัศน์ซึ่งผมไม่ทราบว่าท่านจะโต้แย้งหรือไม่ ยามใดที่เศรษฐกิจตกต่ำ ประชาชนยากลำบาก รัฐบาลต้องเข้าไปเป็นหนี้ครับ และถ้าเราทำแบบนี้แล้วเศรษฐกิจฟื้นเร็ว ในที่สุดหนี้ของรัฐบาลก็จะลดลง ในทางตรงกันข้าม ในยามที่ยากลำบาก วันที่ฝ่ายท่านออกจากตำแหน่งไปแล้วเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ ถ้าวันนั้นรัฐบาลไม่เร่งกระตุ้นเศรษฐกิจ กู้หนี้ยืมสินแล้ว พี่น้องประชาชนจะยากลำบากมาก คนจะตกงานอย่างที่ท่านเคยพูดไว้ 1 ล้านคน 2 ล้านคน เขาจะไม่มีรายได้ และในที่สุดรัฐบาลก็จะเป็นหนี้อยู่ดีเพราะเขาจะไม่มีภาษีจ่ายให้กับรัฐบาล
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ถ้าพูดถึงเรื่องวิสัยทัศน์ แนวคิดทางเศรษฐกิจ ต้องพูดกันแบบนี้ และยืนยันว่าจากการที่เรากอบกู้วิกฤติเศรษฐกิจตั้งแต่ปี 2551 ปลายปีจนถึงปัจจุบัน สถานะการเงินการคลังของประเทศไม่ได้แย่ลงอย่างที่ท่านพูด และตัวเลขที่ท่านบอกว่าที่ท่านนายกฯทักษิณกู้ 7 แสนล้านไม่ให้นับ ผมถามว่ากู้ 7 แสนล้านความจริงกู้จริงประมาณ 6 แสนกว่าล้าน เอามาใช้หนี้เพื่อช่วยภาคธนาคารก็ไม่ต้องนับใช่มั้ยครับ แต่ผมเพื่อสร้างงานให้ประชาชนมีรายได้ ให้โรงเรียน โรงพยาบาลมีการปรับปรุง มีถนนไร้ฝุ่น มันผิดใช่มั้ยคับ ทำแหล่งน้ำให้ประชาชนมันผิดใช่มั้ยครับ ต้องกู้มาใช้หนี้ให้นายธนาคารจึงจะไม่นับเป็นหนี้อย่างนั้นหรือครับ หนี้ก็คือหนี้ เพียงแต่จะเอามาใช้อะไรเป็นคนละประเด็นกับเสถียรภาพว่ามีหนี้หรือไม่มีหนี้ ผมยืนยันว่าการที่เรากู้มา กระตุ้นเศรษฐกิจจนรายได้ฟื้นและฐานะทางเงินคงคลังดีขึ้น และรัฐบาลก็ยืนยันในการเดินเข้าสู่งบสมดุลไปอีก 4-5 ปีข้างหน้าเป็นแนวทางที่ถูกต้องในการบริหารเศรษฐกิจ
"วันนี้ท่านแสดงออกถึงภาวะความเป็นผู้นำของท่าน ตัวเลขที่ท่านเอามาบวกแบบของท่าน ไม่ได้บ่งบอกอะไรเลย แต่สิ่งที่ผมคิด เป็นประเด็นหลักที่เราน่าจะต้องดูเป็นบรรทัดสุดท้ายเป็นการประเมินว่าที่ทำมาทั้งหมดในที่สุดแล้วฐานะของบ้านเมืองของประเทศและเรื่องของความมั่นคงทางการเงินการคลังเป็นอย่างไร มันไม่ได้จะหายนะอย่างที่ท่านพูดหรอกคับ"
หลักสำคัญที่สุด คือ หนี้สาธารณะ คือการบริหารเงินทั้งหมดของประเทศ เทียบกับรายได้ของประเทศ ผลิตภัณฑ์มวลรวม ผลิตภัณฑ์ประชาชาติหรือ จีดีพี สัดส่วนมันเท่าไหร่ วันที่รัฐบาลนายกฯทักษิณออกไปจากตำแหน่ง สัดส่วนหนี้สาธารณะ จีดีพี คือ ร้อยละ 42.75 วันนี้ หรือเอาตัวเลข ม.ค.54 สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีคือร้อยละ 41.94
"ฐานะประเทศมั่นคงกว่าเมื่อปี 2549 รัฐบาลที่ท่านบอกว่าบริหารเงินการคลังได้วิเศษมสุดมีเวลาบริหารอยู่ 6 ปี ในภาวะซึ่งไม่มีวิกฤติเศรษฐกิจ แต่พวกผมบริหารในภาวะวิกฤติเศรษฐกิจและทั่วโลก แต่ผมรักษาสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อรายได้ของประเทศให้อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าวันที่รัฐบาลนายกฯทักษิณออกไปจากตำแหน่ง วันนี้ต่างประเทศยอมรับว่าฐานะของประเทศไทยมั่นคงขึ้น"