พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความในทวิตเตอร์ตอบโต้การชี้แจงข้อกล่าวหาของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กรณีที่นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย(พท.) อภิปรายเรื่องหนี้สาธารณะ
"ได้ฟังคุณอภิสิทธิ์ฯ ตอบคุณมิ่งขวัญฯ ในสภาฯ แล้วรู้สึกว่าน้องยังเด็กเหลือเกิน นักการเมืองที่ดีต้องพูดความจริงต่อประชาชนครับ ประชาชนเป็นผู้ตัดสิน" พ.ต.ท.ทักษิณ ระบุ
พ.ต.ท.ทักษิณ ระบุว่า ที่นายอภิสิทธิ์ฯ ระบุว่าหนี้สาธารณะในสมัยรัฐบาลของตนเองอยู่ที่ 42.75% แต่สมัยรัฐบาลนี้อยู่ที่ 41.94%ของจีดีพีนั้น ข้อเท็จจริงจากสำนักบริหารหนี้สาธารณะ ระบุว่า เมื่อวันที่ 31 ธ.ค.49 หนี้สาธารณะในสมัยรัฐบาลของตนเองอยู่ที่ 40.48% และสมัยก่อนจีดีพีก็เล็กกว่าปัจจุบันมาก คิดเป็นตัวเลขยอดหนี้ในปัจจุบันสูงกว่ามาก
ยิ่งไปกว่านั้นสมัยรัฐบาลของตนเองยังรับภาระหนี้มาจากรัฐบาลประชาธิปัตย์ 2 ก้อนใหญ่ๆ คือ หนี้กองทุนฟื้นฟูฯกว่า 7 แสนล้านบาทที่มาจากการขายทรัพย์ของสถาบันการเงินล้มให้กับโกลแมนแซค, เลย์แมนบราเตอร์ และจีอีแคปปิตอล ได้ราคาไม่ถึง 20% ของต้นทุนทรัพย์สิน แถมยังช่วยไม่ให้บริษัทต่างชาติเสียภาษีมูลค่าเพิ่มด้วย
และ หนี้เงินกู้โครงการมิยาซาวา เอดีบี เวิลด์แบงก์ และไอเอ็มเอฟ อีกประมาณ 6 แสนกว่าล้านบาท โดยเงินกู้จากไอเอ็มเอฟประมาณ 4 แสนล้านบาทนั้นสมัยรัฐบาลของตนเองได้ใช้หนี้ไปหมดแล้ว
"ตอนผมเป็นรัฐบาลรับหนี้สาธารณะมาในขีดอันตรายคือเกือบ 60% ของจีดีพี แต่อยู่ไปก็ทำให้หนี้ลดลงจนอยู่ในเขตที่ปลอดภัย ต่อมาเมื่อจีดีพีสูงขึ้นสัดส่วนของหนี้ต่อจีดีพีก็ลดลง"
พ.ต.ท.ทักษิณ ระบุอีกว่า เมื่อรัฐบาลอภิสิทธิ์เข้ามาได้ถือโอกาสกู้เงิน จึงทำให้หนี้สูงขึ้นเป็นลำดับโดยหวังเศรษฐกิจจะดีขึ้นและจัดเก็บภาษีได้มากขึ้น แต่การกู้เงินมาแล้วไม่ช่วยให้เศรษฐกิจในประเทศดีขึ้นประชาชนเดือดร้อน ในที่สุดหนี้ต่อจีดีพีก็จะสูงขึ้น แต่ยังโชคดีที่ส่งออกโดยเฉพาะหมวดรถยนต์ดีด้วยความสามารถของเอกชน ทำให้สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีสูงขึ้นช้ากว่าที่ควร
"สรุปขอแนะนำว่าให้ยอมรับ และบอกว่าจะให้ความสนใจเศรษฐกิจในประเทศมากขึ้น จะใช้เงินที่กู้มาให้เกิดประโยชน์กว่านี้ จะปล่อยให้โกงน้อยลง จะไม่ให้เกิดการกักตุนสินค้า และตามมาด้วยการขึ้นราคาแบบนี้อีก ผมว่าดูจะเป็นผู้ใหญ่กว่า ได้รับความเห็นใจกว่า บอกประชาชนไปเลยครับว่าผมกำลังเรียนรู้งานอยู่ อีกหน่อยผมก็เก่งเองครับ" พ.ต.ท.ทักษิณ ระบุ