นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวถึงการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (เจบีซี) ที่ประเทศอินโดนีเซีย ระหว่างวันที่ 7-8 เม.ย.ว่า จนถึงขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนว่ารัฐบาลไทยได้ออกคำปราศรัยต่อการประชุมเจบีซีครั้งนี้อย่างไร มีการโต้แย้งคำปราศรัยของนายวาร์ คิม ฮง ผู้แทนเจบีซีฝ่ายกัมพูชาที่กล่าวหาว่าไทยรุกล้ำดินแดนกัมพูชาที่ปรากฎอยู่ในบันทึกผลการประชุมเจบีซีทั้ง 3 ครั้งที่ผ่านมาหรือไม่ หากยืนยันเช่นนี้ขอให้กระทรวงการต่างประเทศ และประธานเจบีซีฝ่ายไทยออกมาเปิดเผย
ในส่วนของการประชุมที่ประเทศอินโดนีเซียนั้น ชัดเจนว่าประเทศไทยและกัมพูชามีความยินยอมกันตั้งแต่วันที่ 22 ก.พ.ที่ผ่านมา โดยเชิญชวนอินโดนีเซียให้ส่งผู้แทนเข้ามาเป็นสักขีพยานและผู้สังเกตการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา เพื่อไม่ให้มีการปะทะกันทั้ง 2 ฝ่าย ข้อตกลงนี้เป็นการเชื้อเชิญของทั้ง 2 ประเทศ จึงไม่ใช่ปัญหาที่เริ่มมาจากอาเซียน แต่เป็นความผิดพลาดของฝ่ายไทยในวางบทบาทระหว่างประเทศที่ไม่ชัดเจนเอง ขอย้ำว่าการปล่อยให้ทหารอินโดนีเซียเข้ามานั้นจะเป็นอันตรายต่อประเทศ และมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงอาณาเขต
นอกจากนี้ นายปานเทพยังได้นำจดหมายจากประเทศอินโดนีเซียในฐานะประธานอาเซียนที่ส่งถึงกระทรวงการต่างประเทศของทั้งไทยและกัมพูชา ที่ระบุถึงร่างแผนแม่บทและแผนปฏิบัติการ (ทีโออาร์) ในการวางกำลังผู้แทนอินโดนีเซียเข้ามาสังเกตการณ์ในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชามาเปิดเผยต่อสื่อมวลชน
ทั้งนี้ ตลอดระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 22 ก.พ.ถึงวันนี้ รัฐบาลไม่เคยเปิดเผยร่างทีโออาร์นี้ให้คนไทยได้รับทราบ ทั้งที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงดินแดน ซึ่งสาเหตุที่รัฐบาลไทยไม่เปิดเผยก็เพราะว่ามีถ้อยคำระบุถึงพื้นที่ที่ให้ผู้แทนอินโดนีเซียเข้ามาสังเกตการณ์ในพื้นที่ได้รับผลกระทบของทั้ง 2 ประเทศฝั่งละ 15 คน
"คำว่าพื้นที่ได้รับผลกระทบบริเวณชายแดนนั้นในฝั่งกัมพูชาก็ต้องหมายถึงพื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหาร วัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ และภูมะเขือ ซึ่งเป็นผืนแผ่นดินไทยชัดเจน ขณะที่ 15 คนที่จะวางกำลังในฝั่งไทยก็คงจะหมายถึงพื้นที่บ้านภูมิซรอล ที่ห่างไกลชายแดนออกมา ซึ่งหมายความว่าแผ่นดินถูกกัมพูชายึดครองโดยมีประเทศที่ 3 เป็นสักขีพยาน ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยต้องเสียเปรียบ 2 ประการสำคัญ คือ มีทหารชาติที่ 3 มีหน้าที่สังเกตการณ์ และเป็นสักขีพยานเพื่อไม่ให้ทหารไทยใช้กำลังทางทหารเป็นกำลังผลักดัน หรือเป็นอำนาจต่อรองบนโต๊ะเจรจาเพื่อให้ทหารและชุมชนกัมพูชาออกจากแผ่นดินไทย และข้อที่ 2 เท่ากับเป็นการยืนยันว่าพื้นที่ที่อินโดนีเซียเข้ามานั้นเป็นแผ่นดินของฝั่งกัมพูชา มีผลทำให้ไทยสูญเสียดินแดนดังกล่าวไปอย่างไม่มีกำหนดระยะเวลา"
ทั้งนี้ ตนจะได้ดำเนินการแปลและเผยแพร่ร่างทีโออาร์นี้ให้ประชาชนได้รับรู้