โฆษกกลุ่มพันธมิตรฯ อ้างผลโพลชี้คนหนุนแนวทางโหวตโนหวังการเมืองเปลี่ยน

ข่าวการเมือง Monday April 18, 2011 14:32 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

โฆษกกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ชี้ผลสำรวจ(โพล) สนับสนุนแนวทางการรณรงค์ให้ประชาชนออกไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง โดยกากบาทในช่องไม่ประสงค์ลงคะแนน(โหวตโน) เพื่อหวังเห็นการเมืองไทยเกิดการเปลี่ยนแปลง

"ผลสำรวจความต้องการของประชาชนนี้มีแนวทางที่ตรงกับการเคลื่อนไหวของภาคประชาชน ซึ่งก็หวังว่านักการเมืองจะได้รับบทเรียนว่ามีประชาชนจำนวนมากรู้สึกเบื่อหน่ายการเมืองอย่างชัดเจน สะท้อนให้เห็นว่าถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยต้องมีการปฏิรูปการเมืองครั้งใหญ่เหมือนกับที่นักการเมืองสัญญาไว้เมื่อปี 49 แต่วันนี้กลับเลือกแก้ไขเพียงบางประเด็นเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองเท่านั้น" นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกกลุ่มพันธมิตรฯ กล่าว

ทั้งนี้สวนดุสิตโพล ระบุว่า มีประชาชนต้องการไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งมากถึง 77.16% ซึ่งถือเป็นแนวโน้มที่ดีที่ประชาชนไม่นอนหลับทับสิทธิ์ และต้องการออกไปใช้สิทธิ์เพื่อต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลง แก้ปัญหาความขัดแย้งทางความคิด การแบ่งฝักแบ่งฝ่าย หรือการประท้วงทางการเมือง ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางของภาคประชาชนในการรณรงค์โหวตโน เพื่อต้องการให้เกิดการปฏิรูปทางการเมือง และยังมี 20.87% ที่ยังไม่คิดจะไปเลือกตั้งเพราะไม่รู้จะเลือกใคร คนที่เข้ามาก็เป็นคนหน้าเดิมๆ ไม่มีความจริงใจในการแก้ไขปัญหาพัฒนาประเทศ โดยคนกลุ่มนี้หากคำนวณตามจำนวนผู้ใช้สิทธิ์เลือกตั้ง 45 ล้านคน ได้เป็น 10 ล้านคน

โฆษกกลุ่มพันธมิตรฯ กล่าวว่า ขณะนี้เริ่มมีกระบวนการประชาสัมพันธ์ของฝ่ายการเมืองที่พยายามอ้างว่าการเลือกตั้งเป็นหัวใจสำคัญของระบอบประชาธิปไตย ขณะที่ตนเองเห็นว่าการเลือกตั้งเป็นเพียงส่วนหนึ่งของระบอบประชาธิปไตยเท่านั้น ไม่ใช่ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นประชาธิปไตย โดยประเทศไทยมีการเลือกตั้งมาโดยตลอด และการเลือกตั้งใหญ่ครั้งหลังสุดเมื่อวันที่ 23 ธ.ค.50 ก็ไม่สามารถแก้ไขวิกฤตการณ์ของชาติได้ หนำซ้ำการเกิดการทุจริตการเลือกตั้งนำไปสู่การสร้างปัญหาใหม่ และความแตกแยกแก่ประชาชนทุกหมู่เหล่า

สำหรับการเดินสายรณรงค์ให้ความรู้เกี่ยวกับการโหวตโนและการปฏิรูปทางการเมืองที่ จ.ขอนแก่น และอุดรธานี เมื่อวันที่ 17 เม.ย.ที่ผ่านมา ประชาชนให้การตอบรับเป็นอย่างดี แสดงให้เห็นว่าไม่ใช่เฉพาะคนที่ชื่นชอบพรรคประชาธิปัตย์จะผิดหวังเท่านั้น เพราะอีกด้านกลุ่มคนเสื้อแดงเองที่ไม่พอใจเรื่องการหมิ่นสถาบันเบื้องสูง และการนิยมความรุนแรงถึงขั้นเผาบ้านเผาเมืองก็รับไม่ได้กับความประพฤติของคนเสื้อแดงบางกลุ่ม และถอนตัวจากการสนับสนุนพรรคเพื่อไทย

ส่วนกรณีที่รัฐบาลเสนอให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ออกระเบียบห้ามพรรคการเมืองแอบอ้างสถาบันฯ ในการหาเสียงเลือกตั้งนั้น นายปานเทพ กล่าวว่า ขบวนการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และการก่อความรุนแรงในสังคมยังคงดำเนินอยู่และขยายวงมากขึ้น โดยเฉพาะปัญหาการจาบจ้วงสถาบันฯ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความอ่อนแอของรัฐบาล แต่กลับนำมาหาเสียง ทั้งที่ตัวเองไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ รัฐบาลพยายามข่มขู่ให้ประชาชนเลือกตัวเองกลับมาเป็นรัฐบาลเพื่อป้องกันปัญหาการใช้ความรุนแรง แต่รัฐบาลกลับเป็นผู้ให้นโยบายในการปล่อยกลุ่มคนเสื้อแดงออกมาจากการถูกคุมขังเอง

"เหมือนว่ารัฐบาลพยายามสร้างสถานการณ์เพื่อข่มขู่ประชาชนให้หวาดกลัว และกลับมาเลือกตัวเอง ทำให้สอดคล้องกับกระแสที่ประชาชนต้องรู้เท่าทันและกากบาทในช่องไม่ประสงค์ลงคะแนน เพื่อทำให้เห็นว่าไม่เห็นด้วยกับวิธีการของฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายตรงข้าม" นายปานเทพ กล่าว

โฆษกกลุ่มพันธมิตรฯ กล่าวว่า หากดูจากฐานคะแนนของพรรคประชาธิปัตย์ และพรรคเพื่อไทย จะเห็นว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่ใช่คู่แข่งของพรรคเพื่อไทยในการแย่งชิงพรรคอันดับ 1 แม้จะมีความใกล้เคียงกันในส่วนของระบบบัญชีรายชื่อ แต่จะเกิดความเสียเปรียบในส่วนของการเลือกตั้งแบบเขต เพราะฉะนั้นภาคประชาชนจะเลือกหรือไม่เลือกใคร ไม่มีผลต่อพรรคอันดับ 1 และ 2 แต่รัฐบาลจะประกอบด้วยพรรคขนาดกลางที่มาเป็นพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งภายใต้โครงสร้างนี้พรรคขนาดกลางจะมีอำนาจต่อรองสูง มีโอกาสทุจริตคอร์รัปชั่นง่าย การเมืองแบบนี้จึงไม่ใช่ทางออกของประเทศ ดังนั้นการแก้ไขจึงต้องถอยออกมาเพื่อให้เกิดการปฏิรูปเปลี่ยนแปลงประเทศ

โฆษกกลุ่มพันธมิตรฯ ยังกล่าวถึงการออกกฎหมายลูกทั้ง 3 ฉบับว่า ฝ่าย ส.ว.เริ่มมีการเรียกร้องให้กฎหมายลูกทั้ง 3 ฉบับนั้นต้องพิจารณาโดยรอบคอบ แต่ขณะที่นายกฯได้ใช้กำหนดการยุบสภาที่ตัวเองเป็นผู้ประกาศล่วงหน้ามาเป็นตัวตั้ง เท่ากับว่าต้องการโยนภาระ และบีบบังคับให้วุฒิสภาพิจารณาเห็นชอบตามที่นายกฯต้องการ ทั้งที่วุฒิสภาไม่อยู่ภายใต้อาณัติของรัฐบาล การที่แสดงท่าทีเพิ่มแรงกดดันไปที่วุฒิสภาถือว่าไม่ถูกต้อง

ดังนั้น นายกฯจึงเหลือเพื่อ 2 ทางเลือก คือ 1.ประกาศยุบสภาตามกำหนดเดิม และไปเสี่ยงว่ากฎหมายลูกจะผ่านหรือไม่ หรือ 2.ตัดสินใจเลื่อนการยุบสภา ตระบัดสัตย์จากสิ่งที่ตัวเองเคยประกาศไว้ ทั้งหลายทั้งปวงเกิดจาการประกาศยุบสภาล่วงหน้าเป็นเวลานาน จนเกิดปัญหามากมายอยู่ในขณะนี้ แม้กระทั่ง ส.ส.ไม่เข้าร่วมประชุม ทำให้ที่ประชุมล่มหลายครั้ง แสดงว่านายกฯบริหารไม่เป็น ทำให้ฝ่ายนิติบัญญัติไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้ ซึ่งนายกฯต้องรับผิดชอบ อย่างไรก็ตาม หากนายกฯประกาศยุบสภาแล้ว กฎหมายลูกออกไม่ทัน อาจทำให้เกิดสูญญากาศทางการเมือง และเกิดช่องว่างให้เกิดเหตุการณ์ใดก็ตาม ซึ่งเกิดจากการตัดสินใจของนายกฯเอง

ด้าน พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ ยืนยันว่า จำเป็นต้องรณรงค์โหวตโน เนื่องจากรัฐบาลและนักการเมืองที่มาจากระบบการเมืองในปัจจุบัน ไม่ให้ความสนใจแม้กระทั่งเรื่องใหญ่ของประเทศในการปกป้องดินแดนอธิปไตย จึงต้องจุดกระแสให้เกิดการปฏิรูปบ้านเมืองอย่างแท้จริง เมื่อถึงวันนั้นปัญหาของชาติบ้านเมืองก็จะลดลง มิเช่นนั้นประเทศชาติบ้านเมืองจะเสียหายมากกว่านี้ โดยเฉพาะความเคลื่อนไหวของกลุ่มบุคคลที่พยายามจาบจ้วงสถาบัน ซึ่งพวกเราได้พยายามให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาเรื่องนี้มานาน แต่ไม่ได้รับความสนใจ จนเมื่อวันที่ 10 เม.ย.ที่ผ่านมามีกลุ่มบุคคลแสดงพฤติกรรมจาบจ้วงสถาบันอย่างชัดเจน ซึ่งพวกเราไม่เห็นด้วย เนื่องจากเห็นว่าอย่างไรเสียประเทศไทยต้องมีสถาบันพระมหากษัตริย์ต่อไป

พล.ต.จำลอง กล่าวว่า หากให้วิเคราะห์ถึงสถานการณ์หลังการเลือกตั้งนั้น ตนเองยังเห็นว่ายังเหลือเวลาอีกมาก ที่อาจเกิดเหตุการณ์อะไรที่ทำให้คะแนนของพรรคการเมืองต่างๆ เปลี่ยนไป ยกตัวอย่างการพูดเมื่อวันที่ 10 เม.ย.นั้นทำให้คะแนนของพรรคเพื่อไทยลดลงอย่างแน่นอน และเมื่อภาคประชาชนเห็นว่าระบบนี้ไปไม่ไหว และร่วมกันออกมารณรงค์นั้น จะทำให้คะแนนของพรรคการเมืองไม่ว่าขั้วใดลดลง จากเดิมที่ไม่มากเท่าไรเมื่อเทียบอัตราส่วนกับผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ