พธม.เรียกร้องรัฐเร่งผลักดันกัมพูชาออกจากพื้นที่ก่อนเจรจา จี้ทบทวนเอ็มโอยู 43

ข่าวการเมือง Wednesday April 27, 2011 14:47 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เรียกร้องให้รัฐบาลไทยผลักดันกัมพูชาออกจากแผ่นดินไทยให้หมดเสียก่อนจึงให้มีการเจรจาเกิดขึ้น ซึ่งจังหวะนี้เป็นโอกาสที่สั้นที่สุดที่หากฝ่ายใดจะช่วงชิงเกมการเมืองระหว่างประเทศ ก็จะเป็นผู้ได้รับชัยชนะในทันที หากไทยยังเพลี่ยงพล้ำไปอีก ก็จะซ้ำรอยเหมือนกรณีที่ปราสาทพระวิหาร และวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ

การที่ขณะนี้รัฐบาลไทยเริ่มมีการไปพูดคุยทำความเข้าใจกับต่างประเทศ ทั้งประเทศจีน และเวียดนาม ถือเป็นยุทธวิธีทางการทูตที่ดี แต่ต้องทำความเข้าใจในแผนบันได 6 ขั้นของทางกัมพูชา ดังนี้

ขั้นที่ 1 หลังการลงนามเอ็มโอยู 2543 ทำให้กัมพูชาสามารถสร้างถนน และกระเช้าขึ้นมาสู่ยอดเขาในฝั่งไทย เพื่อขนอาวุธยุทโธปกรณ์มายึดจุดสูงข่ม ทำให้เกิดการปะทะและทำร้ายราษฎรไทยได้ ทั้งที่ปราสาทเขาพระวิหาร ภูมะเขือ ปราสาทตาควาย และปราสาทตาเมือนธม

ขั้นที่ 2 คือการรุกคืบเข้ามายึดครอง และสำแดงอำนาจอธิปไตยเหนือแผ่นดินไทย โดยการสร้างสิ่งปลูกสร้าง วัด และชุมชน รวมทั้งการใช้กองกำลังติดอาวุธจับกุมคนไทยในแผ่นดินไปขึ้นศาลกัมพูชา ซึ่งทั้ง 2 ขั้นนี้รัฐบาลทำได้เพียงการประท้วงโดยเอกสารไป 125 ครั้ง แต่ไม่ได้ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด

ขั้นที่ 3 คือการเดินหน้านำโบราณสถานต่างๆไปขึ้นทะเบียนมรดกโลก เพื่อนำนานาชาติในนามคณะกรรมการมรดกโลกมารับรองการยึดครองแผ่นดินไทย โดยทำสำเร็จไปแล้วที่ปราสาทพระวิหาร ซึ่งอยู่ระหว่างการขยายผลนำพื้นที่โดยรอบมาผนวกในแผนบริหารจัดการ จนมาถึงปราสาทตาเมือนธม ซึ่งส่งผลให้มีการปะทะอยู่ในตอนนี้

ขั้นที่ 4 คือเมื่อไทยเริ่มคัดค้านกระบวนการมรดกโลก กัมพูชาก็จะสร้างสถานการณ์ให้เกิดการปะทะอย่างต่อเนื่อง โดยเริ่มไปแล้วที่ปราสาทพระวิหาร เมื่อเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา เพื่อทำให้เรื่องทั้งหมดไปสู่เวทีนานาชาติ โดยต้องการให้มีประเทศคนกลางเข้ามาดูข้อผิดพลาดเพลี่ยงพล้ำในเอ็มโอยู 2543

ขั้นที่ 5 ในการเรียกร้องให้มีผู้สังเกตการณ์เข้ามาในพื้นที่เกิดการปะทะ เพื่อเป็นหลักประกันให้กัมพูชาไม่ต้องถอยออกมาจากแผ่นดินที่ยึดครองไทยอยู่ และเมื่อเกิดการหยุดยิงถาวร กัมพูชาก็สามารถยึดครองแผ่นดินไทยต่อไปโดยไม่มีกำหนด โดยที่ฝ่ายไทยไม่สามารถใช้กำลังทหารในการผลักดันออกไปได้

ขั้นที่ 6 ในการนำกรณีนี้ไปใช้หาเสียงให้กับตัวนายฮุนเซนเอง และปูฐานให้ พล.ท.ฮุน มาเนต บุตรชาย ในฐานะวีรบุรุษที่ยึดครองแผ่นดินไทยได้ เพื่อการสืบทอดอำนาจต่อไป

"รัฐบาลไม่ควรไปเจรจาในตอนนี้ เพราะกัมพูชาจะใช้สิทธิในการร้องต่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอสซี) ให้เกิดการหยุดยิงถาวร เมื่อไรที่มีการหยุดยิงถาวร จะทำให้เราเสียดินแดนในพื้นที่ที่กัมพูชายึดครองไปแล้วอย่างไม่มีกำหนดระยะเวลา" นายปานเทพ กล่าว

นายปานเทพ ยังกล่าวอีกว่า มาตรการตอบโต้ของกองทัพหากถูกโจมตีจากกัมพูชานั้น ไม่เป็นหนทางคลี่คลายปัญหาได้เลย เพราะจะเป็นการเพิ่มสถานการณ์ให้กัมพูชาอ้างความชอบธรรมให้นานาชาตินำผู้สังเกตการณ์เข้ามา ซึ่งหนทางแก้ปัญหาที่แท้จริงคือ การผลักดันกัมพูชาออกไปก่อนโดยเร็ว แล้วจึงให้นานาชาติเข้ามา ตนเชื่อว่าเมื่อถึงตอนั้นกัมพูชาก็ไม่ต้องให้มีผู้สังเกตการณ์ เข้ามาอีก

"ตนยังขอประณามการที่กัมพูชาใช้เด็กและผู้หญิงเป็นโล่มนุษย์ในบริเวณวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ เพราะต้องการถอนกำลังทหารมาช่วยที่ปราสาทตาเมือนธม ซึ่งถือเป็นการกระทำที่อำมหิตโหดเหี้ยม ไร้ซึ่งมนุษยธรรม"นายปานเทพ กล่าว

ด้านนายเทพมนตรี ลิมปพยอม คณะกรรมการป้องกันราชอาณาจักรไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า หากเรายังยึดถือเอ็มโอยู 2543 ไว้ จะมีอันตรายร้ายแรงกับประเทศไทย เพราะจะถูกกัมพูชาอ้างสิทธิ์ในการยึดครองแผ่นดินไทยตลอดแนวชายแดน โดยเฉพาะกรณีปราสาทตาควายและตาเมือนธมในตอนนี้ ดังนั้นถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลต้องหันกลับมาทบทวนเอ็มโอยู 2543 ที่มีข้อผิดพลาดอย่างชัดเจน

พร้อมเรียกร้องให้นายสุวิทย์ คุณกิตติ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะหัวหน้าคณะผู้เจรจามรดกโลกฝ่ายไทย ตัดสินใจถอนตัวออกจากภาคีมรดกโลก ก่อนที่จะมีการประชุมขึ้นที่ประเทศฝรั่งเศส ในวันที่ 25 พ.ค.นี้ ซึ่งทางยูเนสโกได้เตรียมการจัดตั้งคณะกรรมการบริหารจัดการมรดกโลกปราสาทรพะวิหาร ซึ่งมีทั้ง 7 ชาติ และไทยเป็น 1 ในนั้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ไทยปฏิเสธมาโดยตลอด


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ