พนักงานสอบสวนกองปราบปราม นำสำนวนสอบสวนหนากว่า 40,000 แผ่น พร้อมความเห็นสมควรสั่งฟ้องแกนนำและแนวร่วมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย(พธม.) ในคดีบุกยึดท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและท่าอากาศยานดอนเมือง เมื่อช่วงปลายปี 51 มาส่งมอบให้นายวิเชียร ถนอมพิชัย อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 9 พิจารณาสั่งคดี
นายวิเชียร กล่าวว่า จะพิจารณาพฤติการณ์ของผู้ต้องหาตั้งแต่เริ่มการชุมนุม การนำกลุ่มผู้ชุมนุมบุกยึดทำเนียบรัฐบาล การปิดล้อมอาคารรัฐสภา การบุกสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย(เอ็นบีที) จนถึงการชุมนุมปิดล้อมท่าอากาศยานดอนเมือง และสุวรรณภูมิว่ามีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกันหรือไม่อย่างไร โดยนัดผู้ต้องหาทั้งหมดมาฟังผลการสั่งคดีในวันที่ 9 มิ.ย.นี้ เวลา 10.00 น. แต่ยังไม่แน่ใจว่าจะสามารถสั่งคดีได้ทันตามนัดหรือไม่ เนื่องจากมีเอกสารหลักฐานมากกว่า 40,000 แผ่น และผู้ต้องหาได้ยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมเข้ามาหลายประเด็น
โดยวันนี้ แกนนำและแนวร่วมกลุ่มพันธมิตรฯ ได้เดินทางมารายงานตัวต่อพนักงานสอบสวนกองปราบปรามแล้วกว่า 80 คน นำโดย พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ส่วนผู้ที่ขอเลื่อนนัด ได้แก่ นายสนธิ ลิ้มทองกุล เนื่องจากติดภารกิจที่ศาลจังหวัดฉะเชิงเทรา, นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ ติดภารกิจในต่างประเทศ, พ.ต.ท.สันธนะ ประยูรรัตน์ และ น.ส.อัญชลี ไพรีรัก ติดภารกิจที่ต่างจังหวัด
สำหรับคดีนี้ พนักงานสอบสวนฯ มีความเห็นสมควรสั่งฟ้องแกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ จำนวน 15 คน ในข้อหาก่อการร้าย ประกอบด้วย พล.ต.จำลอง ศรีเมือง, นายสนธิ ลิ้มทองกุล, นายพิภพ ธงไชย, นายสมศักดิ์ โกศัยสุข, นายสุริยะใส กตะศิลา, นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์, นายนรัณยู หรือศรัณยู วงษ์กระจ่าง, นายศิริชัย ไม้งาม, นายสำราญ รอดเพชร, นางมาลีรัตน์ แก้วก่า, เรือตรีแซมดิน เลิศบุศย์, พ.ต.ท.สันธนะ ประยูรรัตน์, นายชนะ ผาสุกสกุล, นายสุรวิชช์ วีรวรรณ และนายรัชต์ชยุตม์ หรืออมรเทพ หรืออมร ศิริโยธินภักดี หรืออมรรัตนานนท์
และเห็นสมควรสั่งฟ้องแนวร่วมกลุ่มพันธมิตรฯ รวม 114 คน ในข้อหาร่วมกันกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือ หรือวิธีอื่นใด อันมิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญฯ, มั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้าย ขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดการวุ่นวายขึ้นในบ้านเมืองฯ, เจ้าพนักงานสั่งให้เลิกการมั่วสุมแล้วไม่เลิก, บุกรุก, ทำให้เสียทรัพย์ ฯลฯ ทำให้การบริการของท่าอากาศยานหยุดชะงักลง และฝ่าฝืน พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548