นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวว่า ไม่ว่าหลังเลือกตั้งใครจะมาเป็นรัฐบาล ปัญหาทุกอย่างเกี่ยวกับไทย-กัมพูชาก็ยังคงอยู่ ไม่ว่าพรรคเพื่อไทยที่ พ.ต.ท.ทักษิณ มีความสัมพันธ์ในเชิงผลประโยชน์ร่วมกับนายฮุนเซน หรือพรรคประชาธิปัตย์ที่ไม่ยอมยินยันในเรื่องเส้นเขตแดน และกลัวจะเสียภาพลักษณ์มากกว่าการเสียดินแดนอธิปไตย
"สังเกตได้ว่าทุกพรรคการเมืองไม่ได้มีนโยบายเกี่ยวกับเรื่องนี้ออกมาเลย การเมืองในระบบจึงไม่สามารถปกป้องอธิปไตยของชาติได้"
ส่วนกรณีที่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีนำผลการประชุม 3 ฝ่าย ระหว่าง รมว.ต่างประเทศ ของไทย กัมพูชา และอินโดนีเซีย เข้าหารือในการประชุมวันนี้ (18 พ.ค.) นายปานเทพ กล่าวว่า การที่ พล.อ.เตีย บันท์ รมว.กลาโหม ของกัมพูชา ออกมาแถลงข่าวระบุว่าจะไม่มีการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (เจบีซี) และคณะกรรมาธิการชายแดนทั่วไป (จีบีซี) ระหว่างไทยกับกัมพูชา หากยังไม่มีผู้สังเกตการณ์จากอินโดนีเซียเข้าไปในพื้นที่ รวมทั้งปฏิเสธว่าไม่รู้จักพื้นที่ 4.6 ตร.กม.รอบปราสาทพระวิหาร โดยยืนยันว่าเป็นดินแดนของกัมพูชานั้น ตนเห็นว่าเป็นการยืนยันเพียงฝ่ายเดียวของทางกัมพูชา ซึ่งเรื่องนี้รัฐบาลไทยต้องประกาศในเวทีสาธารณะให้ชัดเจนถึงอาณาเขตดินแดนของไทย เพราะหากรัฐบาลยังมัวแต่พูดว่าพื้นที่ 4.6 ตร.กม.เป็นพื้นที่พิพาท
"ปัญหานี้ไม่มีทางแก้ไขสำเร็จ เพราะขณะที่กัมพูชายืนยันตามแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 2 แสน ในขณะที่ฝ่ายไทยยังยึดติดอยู่กับเอ็มโอยู 2543 ก็จะเสียเปรียบในเวทีนานาชาติอยู่ต่อไป เพราะเป็นการเปิดช่องให้กัมพูชาอ้างอิงแผนที่ 1 ต่อ 2 แสนที่ระบุอยู่ในเอ็มโอยู 2543 ประกอบกับคำพิพากษาของศาลโลก เมื่อปี 2505 เพื่อยืนยันเส้นเขตแดน เหมือนเป็นกับดักที่รัฐบาลไทยติดอยู่ ทำให้ตกเป็นรองทุกด้าน จึงปฏิเสธไม่ได้ว่าเอ็มโอยู 2543 ทำให้ไทยเสียเปรียบ หากรัฐบาลไม่สามารถแก้ข้อเสียเปรียบตรงนี้ได้"นายปานเทพ กล่าว