นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงกรณีที่กัมพูชานำกรณีปัญหาเรื่องปราสาทพระวิหารขึ้นสู่ศาลโลก โดยมั่นใจว่าจะสู้คดีกัมพูชาในศาลโลกได้ โดยเฉพาะความเห็นผู้อำนวยองค์การยูเนสโก้ที่คล้อยตามประเทศไทยในกรเลื่อนแผนบริหารจัดการพื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหารออกไปก่อน
ทั้งนี้ ความเห็นของผู้อำนวยการยูเนสโก้ที่สอดคล้องกับไทยที่ให้เลื่อนการพิจารณาแผนบริหารจัดการพื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหารเป็นทางออกที่ดีที่สุด แต่อำนาจอยู่ที่คณะกรรมการมรดกโลก ซึ่งไทยจะต้องทำความเข้าใจต่อไป และการที่กัมพูชาออกมาตำหนิ ผอ.ยูเนสโก้ เป็นตัวบ่งบอกชัดเจนว่ายูเนสโก้เห็นด้วยกับไทยและเป็นผลดี อีกทั้งการส่งเอกสาร MOU ปี 43 ให้กรรมการมรดกโลกของกัมพูชาเป็นการยอมรับว่าไม่สามารถจัดทำหลักเขตแดนได้เท่ากับว่าเอกสารดังกล่าวเป็นการผูกมัดกัมพูชาเอง
ซึ่งข้อต่อสู้ของกัมพูชาเป็นคำร้องขอชั่วคราวถึงความจำเป็นและก้าวล่วงเกินคำพิพากษาเดิม 2505 ซึ่งไทยจะต้องต่อสู้และเหตุผลของไทยสอดคล้องกันหมด โดยไทยก็ได้กำหนดขอบเขตคำพิพากษาตั้งแต่ปี 2505 ขณะที่กัมพูชาไม่ได้โต้แย้งใดๆ ดังนั้นขอให้คนไทยมั่นใจรัฐบาลสามารถปกป้องผลประโยชน์ของประเทศได้และพร้อมสู้ทุกเวที