นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เปิดเผยในงานสัมมนา "ต่อต้านคอร์รัปชั่น จุดเปลี่ยนประเทศไทย" จัดโดย หอการค้าไทยร่วมกับองค์กรภาคีเครือข่ายต่อต้านคอร์รัปชั่น ว่า ปัญหาการทุจริตคอรัปชั่นได้สร้างความเสี่ยหายต่อเศรษฐกิจและสังคม นำไปสู่การสูญเสียโอกาสต่อการพัฒนาด้านต่างๆ จึงเห็นความจำเป็นเร่งด่วนในการปราบปรามการทุจริต เพราะนอกจากการสร้างความเสียหายที่ประเมินทางมูลค่าทางเศรษฐกิจแล้ว ยังเป็นการทำลายขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศและธุรกิจ การขาดธรรมภิบาล และทำให้เกิดการแข่งขันไม่เป็นธรรม
การทุจริตคอร์รัปชั่นที่เกิดขึ้นนั้นมักเกิดใน 3 ภาคส่วน ได้แก่ ภาคการเมือง ราชการ และภาคธุรกิจ ซึ่งแม้จะมีการดำเนินงานในเรื่องนี้มานาน แต่ก็ยังมีอยู่ในสังคมไทย และนับวันจะยิ่งมีความสลับซับซ้อนในหลากหลายรูปแบบมากขึ้น อาทิ การสมยอมกันในการเสนอราคา ซึ่งหากราคากลางสะท้อนภาพความเป็นจริงมากขึ้น การทุจริตก็จะทำได้ยากขึ้น
นอกจากนั้น หน่วยงานหลาย ๆ แห่งยังขาดบุคลากรที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญในการประเมินราคากลาง เนื่องจากมีความสลับซับซ้อนของเทคโนโลยีมากขึ้น และเมื่อมีการจ้างที่ปรึกษาเข้ามาดูแล ก็ทำให้เกิดช่องว่างให้เข้าไปทุจริตคอร์รัปชั่นได้ ดังนั้น จึงต้องรัดกุมและแม่นยำในการกำหนดราคากลาง ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยลดปัญหาการคอร์รัปชั่นลงได้
และที่สำคัญเราจะต้องเปลี่ยนค่านิยมของคนในสังคมใหม่ ทั้งนี้ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา มีการหยุดยั้งการไหลของระดับการทุจริตในประเทศได้ แต่ปัญหานี้ยังมีความรุนแรง แม้รัฐบาลจะพยายามแก้ไขแต่ยังไม่อยู่ในระดับที่น่าพอใจ เพราะเรื่องสำคัญต้องทำให้เกิดความร่วมมือจากทุกภาคส่วนให้มากขึ้น
นายกรัฐมนตรีได้เสนอแนะว่า การแก้ปัญหาทุจริตคอรัปชั่นต้องอิงจากข้อเท็จจริงและองค์ความรู้ให้มากขึ้น ซึ่งหลายหน่วยงานมีการทำการศึกษาวิจัยการทุจริตของพรรคการเมืองหรือการจ่ายเงินใต้โต๊ะ ซึ่งถือเป็นข้อมูลที่นำมาเป็นฐานในการแก้ปัญหาได้ รวมถึงค่านิยมและวัฒนธรรมที่ยังเป็นปัญหา
"การแก้ปัญหาคอร์รัปชั่นที่แท้จริง ต้องเปลี่ยนวัฒนธรรมของคนในประเทศ และสร้างความตระหนักให้คนในทุกภาคส่วนรู้สึกมีส่วนรวมในการต่อต้านคอร์รัปชั่นทั้งภาครัฐและเอกชน โดยต้องอาศัยความร่วมมือและการสร้างเครือข่ายระหว่างประเทศในการช่วยผลักดัน" นายก ฯ กล่าว
อย่างไรก็ตาม หวังว่ารัฐบาลใหม่ที่จะเข้ามาบริหารประเทศจะมีการนำเสนอแนวทางการแก้ปัญหาคอร์รัปชั่น รวมถึงการเรียกร้องให้ภาคเอกชนร่วมมือกันปฎิเสธการให้สินบน แต่ให้มีการแข่งขันทางด้านประสิทธิภาพและฝีมือมากกว่า และพร้อมที่จะให้ความร่วมมือในการให้ข้อมูลการคอรัปชั่น เพื่อให้สามารถเดินหน้าแก้ปัญหาทุจริตอย่างจริงจังและเป็นเอกภาพ
นายดุสิต นนทะนาคร ประธานกรรมการหอการค้าไทย เปิดเผยว่า คนไทยส่วนใหญ่ไม่ค่อยตระหนักถึงภัยของการทุจริตคอร์รัปชั่น ทั้งยังมองว่าเป็นเรื่องปกติ และ “ยอมให้โกงได้ถ้ามีผลงาน” หากปล่อยทิ้งไว้ก็เหมือนกับมะเร็งร้ายที่จะกัดกร่อนประเทศไทย จนอาจถึงขั้นล่มสลายในที่สุด เราต้องเริ่มต้นแสดงพลังให้ทุกภาคส่วนเห็นว่าภาคีเครือข่ายฯ ของเราเอาจริงเอาจัง และพร้อมที่จะร่วมมือกันอย่างแข็งขัน เพื่อให้การต่อต้านทุจริตคอร์รัปชั่นเห็นผลอย่างเป็นรูปธรรม ด้วยการหยุดให้หรือหยุดจ่าย เพื่อยุติข้ออ้างที่ว่าการทุจริตคอร์รัปชั่น เกิดจากมีผู้ให้จึงมีผู้รับ ถ้าเรายุติการให้หรือการจ่ายที่ไม่ถูกต้อง ก็ถือเป็นการตัดวงจรอุบาทว์นี้ไปโดยปริยาย
“ผมเชื่อมั่นว่าการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น จะสามารถเปลี่ยนแปลงประเทศไทยไปในทางที่ดีขึ้นได้ เพราะได้เห็นตัวอย่างการต่อต้านของประเทศฮ่องกงที่ทำสำเร็จมาแล้ว ฮ่องกงเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว สถานการณ์ทุจริตคอร์รัปชั่นเลวร้ายกว่าบ้านเรา แต่วันนี้ฮ่องกงสามารถพลิกฟื้นจากที่เคยมีภาพลักษณ์ของการโกงกินแทบทุกขั้นตอนในการทำธุรกิจ กลายเป็นมีความโปร่งใสเป็นอันดับที่ 13 ของโลก ซึ่งนับว่าเป็นประเทศที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น ในเมื่อฮ่องกงยังทำได้สำเร็จ ประเทศไทยก็ต้องทำได้เช่นกัน หากทุกคนร่วมมือร่วมใจกันมุ่งมั่นเอาจริงเอาจังในการแก้ปัญหานี้ ผมเชื่อมั่นว่าประเทศไทยจะสามารถหยุดการทุจริตคอร์รัปชั่น และเปลี่ยนแปลงประเทศไปในทางที่ดีขึ้นได้อย่างแน่นอน” นายดุสิต กล่าว