นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นำทีมเศรษฐกิจแถลงนโยบาย"เดินหน้าประเทศไทย ขับเคลื่อนเศรษฐกิจสู่อนาคต Moving Thailand Forward"กำหนดเป้าหมายสำคัญ 3 ด้าน คือ เศรษฐกิจเข้มแข็ง ประชาชนเข้มแข็ง และ ธุรกิจเข้มแข็ง การทำให้เศรษฐกิจไทยเข้มแข็งคือรัฐบาลต้องเข้าไปสนับสนุนธรุกิจหลักๆของประเทศเช่น เกษตรกรรม, การท่องเที่ยว. อุตสาหกรรม
ตลอดระยะเวลา 2 ปีครึ่งที่ผ่านมา ที่พรรคประชาธิปัตย์ได้เข้ามาบริหารประเทศนั้น เศรษฐกิจกลับมาเข้มแข็งและกลับมาเติบโตได้ จากช่วงก่อนหน้านี้เศรษฐกิจไทยอยู่ในช่วงตกต่ำ ตัวเลขจีดีพีติดลบ ซี่งเมื่อพรรคเข้ามาเป็นรัฐบาลก็ได้เร่งออกนโยบายเพื่อเพิ่มเงินในกระเป๋าให้กับประชาชน อย่างเช่น นโยบายเช็คช่วยชาติ ที่เป็นการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ตลาดให้เร็วที่สุด
ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก เพราะเศรษฐกิจในปัจจุบันกลับมาเติบโตได้ดี เห็นได้จากตัวเลขการส่งออกที่ปัจจุบันสามารถกลับมาเติบโตสูงกว่า 20% ขณะที่ภาคท่องเที่ยวก็เติบโตอย่างต่อเนื่อง แม้จะมีบางช่วงที่สะดุดไปบ้าง จากเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมือง โดยเฉพาะการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามจำนวนนักลงท่องในช่วง 3 เดือนแรกที่ผ่านมา สูงเกินกว่า 5 ล้านคนเป็นครั้งแรก
ขณะที่อัตราเงินเฟ้อถือว่าอยู่ในระดับต่ำ และสามารถควบคุมสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อรายได้ประชาชนไว้ที่ 39% ซึ่งถือว่าดีกว่าประเทศเพื่อนบ้าน ขณะที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ก็เติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นการพิสูจน์ถึงความเข้มแข็งของภาวะเศรษฐกิจ
“แม้จะมีคนมาเผาตลาดหลักทรัพย์ แต่ก็ไม่สามารถเผาดัชนีตลาดหลักทรัพย์ของประเทศได้”นายอภิสิทธิ์ กล่าว
นโยบายประชาชนเข็มแข็ง จะเน้นที่การเพิ่มรายได้ประชาชน ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ให้ความสำคัญกับเรื่องค่าแรงมาโดยตลอด และจะดำเนินการอย่างต่อเนื่อง หากได้กลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้งจะปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ 25% ภายใน 2 ปี และเชื่อว่าสามารถเป็นไปได้มากกว่านโยบายของพรรคการเมืองอื่นที่ประกาศขึ้นค่าแรงในระดับสูงถึง 300 บาททันที เพราะหากขึ้นคาแรงเท่ากันหมดทุกพื้นที่จะทำให้ผู้ประกอบการไม่กล้าเข้ามาลงทุนในพื้นที่ที่มีค่าใช้จ่ายสูง
นอกจากนี้ พรรคประชาธิปัตย์ยังมีนโยบายเพิ่มรายได้ให้กับประชาชนทั่วไป ทั้งการเพิ่มกำไรให้กับเกษตรกรจากโครงการประกันรายได้อีก 25% การพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เพื่อสร้างสินค้า และงบประมาณในวงเงินงบประมาณ 2 หมื่นล้านบาท รวมทั้งการจัดโฉนดชุมชนให้กับเกษตรกรมีที่ทำกินเพิ่มขึ้นอีก 2.5 แสนคน
ขณะที่นโยบายในการลดค่าใช้จ่ายประชาชนก็จะดูแลราคาสินค้าให้เหมาะสม โดยดูแลต้นทุนการผลิต สวัสดิการขั้นพื้นฐานของประชาชน ทั้งเรียนฟรี ที่อยู่อาศัยอัตราดอกเบี้ยต่ำ เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำให้นักศึกษาระดับมหาวิทยาลัยกว่า 2.5 แสนคน ขยายระบบประกันสังคม จัดตั้งกองทุนการออมแห่งชาติเพื่อเป็นเสาหลักในการดูแลสังคมผู้สูงอายุเป็นต้น
"การเพิ่มรายได้ของประชาชนตามนโยบายของพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ใช่ประชานิยม ถ้าประชานิยมก็ต้องประกาศขึ้นแบบสะใจไปเลย แต่นี่เป็นการคำนวณแบบเป็นระบบแล้ว...เรื่องนโยบายที่เกี่ยวกับหนี้สินของประชาชน นโยบายเหล่านี้ไม่ได้ทำให้ประชาชนอ่อนแอ คือไม่ได้พักหนี้หรือยกหนี้ แต่ปรับโครงสร้างหนี้ และประชาชนเหล่านี้ก็กลับมาเข้าระบบและกลายเป็นลูกค้าที่ดีได้ และพรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคเดียวที่มีนโยบายการออม"นายอภิสิทธิ์ กล่าว
ด้านนโยบายธุรกิจเข็มแข็ง พรรคจะให้ความสำคัญในการดูแลผู้ประกอบการต่างๆ โดยจะเน้นการลดต้นทุนการผลิต ที่จะมีการลดภาษีนำเข้าสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูปและเครื่องจักร จะมีการจัดตั้งกองทุนปรับทักษะฝีมือแรงงาน 5,000 ล้านบาท รวมทั้งสนับสนุนการจัดตั้งสถาบันบริหารจัดการคุณวุฒิวิชาชีพ และที่สำคัญจะมีการปรับโครงสร้างภาษีในภาพรวม และมีมาตรการจูงใจ ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยติดอันดับ 1 ใน 10 ของอุตสาหกรรมยานยนต์ ส่วนภาคการเกษตรจะผลักดันให้ประเทศไทยเป็นเสมือนครัวโลก รวมทั้งจะมีการเพิ่มกำไรจากโครงการประกันรายได้
สำหรับปัญหาแรงงานต่างด้าว ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ไม่ต่ำ 2-3 ล้านคน พรรคก็จะให้ความสำคัญกับการจัดระเบียบ และต้องทำให้แรงงานต่างด้าวรู้สึกเป้นส่วนหนึ่งของคนไทย
"เราเป็นมืออาชีพ เรามีวินัยไม่พูดอะไรล่วงหน้าแบบเน้นแต่เรื่องปรับภาษีอย่างเดียว แต่จะมีการช่วยเหลือในส่วนของผู้ประกอบการด้วย รวมไปถึงการพัฒนาแรงงานให้มีคุณภาพ สุดท้ายต้องเป็นการเพิ่มรายได้ ลดค่าใช้จ่ายของประชาชน ที่ผ่านมาหลายคนบอกว่าการตรึงราคาน้ำมันดีเซลจะทำให้กองทุนน้ำมันติดลบ วันนี้เราทำได้และก็เป็นการช่วยแบ่งเบาภาระของประชาชนและช่วยตรึงราคาสินค้า"
ส่วนปัญหาคอร์รัปชั่น ทางพรรคก็ยังคงให้ความสำคัญ หากได้กลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้งก็จะยังคงเข้มงวดในการปรามปรามคอร์รัปชั่นเหมือนช่วง 2 ปีที่ผ่านมา แม้ว่าต่อไปจะเป็นรัฐบาลผสมก็ตาม
"ถ้าไม่เลือกผมน่ะถึงจะดีแต่พูด แต่ถ้าเลือกผมทำได้ทั้งหมดที่พูดมา"นายอภิสิทธิ์ กล่าว