นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้เขียนบันทึกบนเฟซบุ๊กชี้แจงกรรีที่มีสื่อบางส่วนเสนอข้อมูล-ข้อคิดที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง โดยระบุว่าการเดินเข้าสู่เส้นทางนายกรัฐมนตรีทีมีหลายคนมองว่าพรรคประชาธิปัตย์สมคบกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งไมม่เป็นควมจริง
"ผมระมัดระวังที่จะแยกแยะบทบาทของพรรคการเมืองกับภาคประชาชนที่มีสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ ผมไม่ไปขึ้นเวทีแต่ปกป้องสิทธิของพวกเขา เมื่อใดที่มีการทำผิดกฎหมาย เช่น การยึดทำเนียบ ยึดสนามบิน หรือขัดขวางการลงพื้นที่ของรัฐมนตรี ผมแสดงจุดยืนชัดเจนทุกครั้งว่า ผมไม่เห็นด้วย"นายอภิสิทธิ์ ระบุ
และ เมื่อสถานการณ์ลุกลาม การบริหารบ้านเมืองแทบเดินไม่ได้ ประเทศชาติเสียหายยับเยินขาดความเชื่อมั่นในสายตานานาชาติ ในช่วงวิกฤตินั้นจึงได้เสนอให้ยุบสภาเพื่อให้ประเทศมีทางออกตามระบบ แต่ไม่เคยเสนอให้นายกฯสมัคร สุนทรเวช ลาออกจากตำแหน่ง ตามข้อเรียกร้องของกลุ่มผู้ชุมนุม เพราะจะกลายเป็นการยอมจำนนต่อการใช้มวลชนกดดัน ซึ่งจะส่งผลให้เกิดปัญหาระยะยาวต่อการบริหารประเทศ จึงเห็นว่าการยุบสภาคืนอำนาจให้ประชาชนเป็นทางออกที่ดีที่สุด โดยไม่ได้คำนึงถึงว่าพรรคจะแพ้การเลือกตั้งหรือไม่
ท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมืองที่ทวีความตึงเครียดให้กับประเทศไทยมากขึ้น คดีของพรรคพลังประชาชนซึ่งเป็นพรรคแกนนำรัฐบาลก็อยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ สืบเนื่องจากรองหัวหน้าพรรคทุจริตเลือกตั้งถูก กกต.ให้ใบแดง ทำให้ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งมีคำพิพากษายืนให้ใบแดง ซึ่งกติกาที่ทุกพรรคก็รับทราบมาตั้งแต่ต้น คือ หากผู้บริหารพรรคได้ใบแดงพรรคการเมืองนั้นต้องถูกยุบ ช่วงเวลานั้น อดีตเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญติดต่อขอพบผม โดยคุณพสิษฐ์บอกว่าพรรคพลังประชาชนจะถูกยุบ ซึ่งตนเองตอบกลับไปว่าคิดว่าไม่ได้เป็นประโยชน์หรือเกี่ยวข้องกับประชาธิปัตย์ เพราะเชื่อว่าพรรคร่วมรัฐบาลเดิมก็คงจับมือกันเป็นรัฐบาลต่อ
แต่ถามว่าหากพรรคการเมืองอื่นตัดสินใจย้ายมาร่วมตั้งรัฐบาลกับประชาธิปัตย์แปลกไหม ก็ต้องบอกว่าไม่แปลก เพราะบ้านเมืองเดินไม่ได้จริง ๆ กับปัญหาที่สะสมมาตั้งแต่ความพยายามแก้รัฐธรรมนูญเพื่อตัวเองจนถึงเรื่อง 7 ตุลา และตนเองไม่เคยติดต่อกับทหารท่านใดเลย และเชื่อว่าไม่มีใครบังคับ ส.ส.ได้ คุณสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคซึ่งประสานงานกับพรรคการเมืองต่าง ๆ มาถามจุดยืนตนเองก็บอกว่าเป็นเรื่องของสภา และคิดอยู่ในใจว่าหากเราจะปัดว่าไม่ใช่เรื่องของเราก็ได้ แต่เราไม่ได้เป็นคนไปแย่งไปปล้นอำนาจใครมา และไม่คิดทำอะไรเพื่อตัวเอง ทุกอย่างเป็นกระบวนการตามระบบ หากเสียงในสภายอมรับและการลงคะแนนก็เปิดเผย การสลับขั้วในระบบรัฐสภาเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาในทุกประเทศที่ใช้ระบบนี้
ส่วนการจัดตั้งรัฐบาลที่มีการวิจารณ์กันมากว่ายอมให้คุณเนวินขี่คอได้กระทรวงหลักไปดูแล ความจริงก็คือ ในสถานการณ์นั้นง่ายที่สุด คือ ใครเคยดูแลกระทรวงไหนก็ดูแลกระทรวงนั้นเหมือนเดิมทั้งหมด หลักสำคัญคือพูดกันชัดเจนว่าจะแก้วิกฤติให้จบ ไม่เคยมีสัญญาจะแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 237 ตามที่คุณบรรหารกล่าวอ้าง และวันที่คุณเนวินพูดเรื่องรัฐธรรมนูญ ตนเองก็พูดชัดสามเรื่อง คือ เรื่องไหนที่เป็นปัญหาเชิงเทคนิคของรัฐธรรมนูญยินดีแก้ แต่เรื่องนิรโทษกรรมไม่เอา เพราะบ้านเมืองวุ่นวายมามากแล้ว และคุณเนวินก็บอกกับผมว่า เรื่องนิรโทษกรรมไม่ต้องพูดถึงเขาไม่สนใจ
เมื่อสภาให้โอกาสผมเป็นนายกรัฐมนตรีผมก็มีหน้าที่แก้ไขปัญหา และตั้งใจตั้งแต่ต้นว่าจะไม่อยู่ครบวาระ ถ้าคลี่คลายวิกฤติได้ก็จะยุบสภา เพราะตอนนั้นเกิดวิกฤติเศรษกิจโลกและวิกฤติการเมือง เป็นวิกฤติซ้อนวิกฤติ มีคนแนะนำว่าอย่าไปเป็นนายกรัฐมนตรีเลยเพราะมีแต่เจ๊ากับเจ๊ง จะเปลืองตัว เพราะต้องยอมรับความจริงว่าประชาชนส่วนหนึ่งไม่ไว้วางใจพรรคร่วมรัฐบาลเดิม ซึ่งจะทำให้ได้รับแรงเสียดทานไปด้วยว่า"อยากเป็นนายกรัฐมนตรีจนสามารถร่วมงานกับพรรคอะไรก็ได้" และพัฒนาไปไกลถึงขั้นหาว่า"พายเรือให้โจรนั่ง"
อย่างไรก็ตาม เข้าใจดีถึงความรู้สึกของพี่น้องจำนวนไม่น้อยที่แสลงใจกับภาพที่คุณเนวิน ชิดชอบ เข้ามาโอบกอดเมื่อตัดสินใจร่วมรัฐบาลกัน แต่ก็ขอให้ความเป็นธรรมกับคุณเนวินว่าการตัดสินใจย้ายขั้วย่อมเป็นการตัดสินใจที่ยากลำบากไม่น้อย ไม่ว่าคนจะมองคุณเนวินในภาพอย่างไร แต่ในวันนั้นเชื่ออย่างบริสุทธิ์ใจว่าคุณเนวินได้ตัดสินใจทางการเมืองเพื่อให้ประเทศเดินหน้าได้
ถ้าคิดในทางกลับกันหากตนเองไม่ยอมร่วมรัฐบาลกับคุณเนวินและพรรคอื่น ๆ เพียงเพราะกลัวเปลืองตัว ปล่อยให้บ้านเมืองวุ่นวายเดินหน้าไม่ได้ ก็ลอยตัวไม่ต้องมาอยู่ในฐานะเป็นคู่ขัดแย้งกับใคร ชีวิตก็ไม่ต้องเสี่ยงจากความรุนแรงที่เริ่มปรากฏให้เห็นในการแข่งขันทางการเมือง แต่ถ้าผมทำอย่างนั้นก็เท่ากับเป็นการปัดความรับผิดชอบในฐานะนักการเมืองที่ต้องแก้ปัญหาให้ประชาชน
นายอภิสิทธิ์ ระบุว่า ได้บอกกับตัวเองตั้งแต่วันนั้นว่า ชีวิตกำลังเปลี่ยนแปลงและอาจสุ่มเสี่ยงต่อการที่จะมีชีวิตสั้นกว่าวัยอันควร เพราะมีคนใช้ความรุนแรงข่มขู่ทางการเมือง แต่ก็ยังเลือกที่จะทำหน้าที่เดินหน้าประเทศไทยเพื่อรักษาสัญญาที่ให้กับพี่น้องประชาชนที่ให้โอกาสเป็น ส.ส.คนเดียวของประชาธิปัตย์ในกรุงเทพมหานคร และก็ดำเนินการทันทีท่ามกลางวิกฤติซ้อนวิกฤติ พร้อมเดินหน้าสร้างระบบสวัสดิการให้กับประชาชนอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่ประชานิยมแต่เป็นประชายั่งยืน และไม่ได้เสียสมาธิกับปัญหาทางการเมืองจนเป็นอุปสรรคต่อการแก้ปัญหาให้พี่น้องประชาชน
"ผมมาทบทวนดูว่า การเข้าสู่ตำแหน่งและการดำรงตำแหน่งของผม ขัดกับหลักประชาธิปไตยไหม ผมว่ามันไม่ใช่ ผมได้รับการยืนยัน การสนับสนุนจากสภาตลอด 2 ปี แม้แต่คนเสื้อแดงก็ไม่ได้หยิบยกเรื่องนี้มาเป็นเงื่อนไขการชุมนุม จนเวลาผ่านไปเป็นปี...ถ้าผมจะมีความผิดก็คงมีแค่ประการเดียว คือ ผมเป็นนายกฯในระบบสภาคนแรกหลังปี 2550 ที่คุณทักษิณสั่งไม่ได้"นายอภิสิทธิ์ ระบุ