นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้สมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย(พท.) และแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) กล่าวว่า การที่นายแก้วสรร อติโพธิ อดีตคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ(คตส.) ในฐานะผู้ก่อตั้งเครือข่ายพลเมืองคัดค้านนิรโทษกรรมคอรัปชั่นทักษิณ(คนท.) และ นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ แกนนำกลุ่มเสื้อหลากสี พยายามยื่นเรื่องต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ให้สอบสวนน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้สมัครส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อลำดับ 1 พรรคเพื่อไทย ในกรณีการถือครองทรัพย์สินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีนั้น มีวาระแอบแฝงหวังจะให้กระทบต่อคะแนนนิยมในตัวของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ซึ่งเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี เพื่อให้ส่งผลต่อการตัดสินใจของประชาชนในวันที่ 3 ก.ค.
"เมื่อเห็นคะแนนของน.ส.ยิ่งลักษณ์พุ่งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ พรรคประชาธิปัตย์พยายามชวนทะเลาะ สร้างเงื่อนไขให้เกิดการปะทะทางการเมืองแต่ไม่ได้ผล น.ส.ยิ่งลักษณ์ยังเดินหน้าพบประชาชนโดยไม่ข้องแวะกับการถากถางโจมตี จึงต้องใช้ตัวช่วยเหล่านี้ชนิดที่เรียกว่า ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยมนต์ก็เอาด้วยแก้วหน้าม้า ยืนยันว่าพรรคเพื่อไทยพร้อมรับมือกับวิชามารเหล่านี้ แต่นายแก้วสรรและพวกก็ต้องเตรียมตัวไว้ในฐานะจำเลยด้วย" นายณัฐวุฒิ กล่าว
ทั้งนี้นายแก้วสรร เป็นนักกฎหมายย่อมต้องรู้ว่าขั้นตอนการดำเนินคดีต้องใช้เวลาและมีลำดับขั้นตอน ซึ่งสมมติว่ากรณีนี้ต้องมีการดำเนินคดีจะต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 1 ปี ดังนั้นใครผิดหรือถูกคงไม่สามารถสรุปได้ภายในวันที่ 3 ก.ค. แต่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้รับความเสียหายไปแล้วจากการกระทำของคนกลุ่มนี้
นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า นายแก้วสรรกับพวกได้ชี้นำกระบวนการยุติธรรมเป็นการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือใส่ร้าย ซึ่งผิด พ.ร.บ.เลือกตั้งปี 2550 มาตรา 53(5) ด้วย ดังนั้นพรรคจะมอบให้ฝ่ายกฎหมายไปดำเนินการต่อไป และจะดำเนินการในทุกช่องทางที่กฎหมายเอื้อมไปถึง ทั้งยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) การฟ้องแพ่งและอาญา
"หากนายแก้วสรรและพวกบริสุทธิ์ใจจริง ก็ควรจะรอให้การเลือกตั้งผ่านพ้นไปก่อน หรือไม่ก็ดำเนินการก่อนที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะเป็นผู้สมัครส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อลำดับ 1 ของพรรคเพื่อไทย เพราะมันทำให้คิดเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้เลย" นายจตุพร กล่าว