นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้สมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 9 พรรคเพื่อไทย(พท.) และแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) แถลงถึงกรณีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) เขียนบันทึกส่วนตัวลง Facebook ในประเด็น "บทความจากใจอภิสิทธิ์ถึงคนไทยทั้งประเทศ"ว่า ควรเปลี่ยนชื่อบันทึกเป็น "ลากไส้อภิสิทธิ์ ถึงคนไทยทั้งประเทศ"มากกว่า เพราะเป็นการอธิบายตัวตนและที่มาของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ได้เป็นอย่างดี
โดยประเด็นแรกที่เขียนระบุว่า คนมองว่าพรรคประชาธิปัตย์สมคบกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แต่นายอภิสิทธิ์แยกแยะบทบาทโดยไม่ขึ้นเวทีแต่ยังปกป้องสิทธิของกลุ่มพันธมิตรฯ ตลอดเวลานั้น มองว่าถ้านายอภิสิทธิ์ จริงใจอย่างแท้จริงเหตุใดจึงไม่ออกมาปกป้องสิทธิของคนเสื้อแดงหรือคนที่เห็นต่างบ้าง
นอกจากนี้ ที่ระบุว่าเมื่อกลุ่มพันธมิตรฯ ทำผิดกฎหมาย เช่น ยึดทำเนียบรัฐบาลและปิดสนามบิน ได้แสดงจุดยืนว่าไม่เห็นด้วยนั้น เป็นจุดยืนเพียงบนดินเท่านั้น เพราะความเป็นจริงมีส.ส.ของพรรคประชาธิปัตย์หลายคนไปให้กำลังใจ และเมื่อบรรลุเป้าหมายโดยเปลี่ยนรัฐบาลและล้มนายกรัฐมนตรีได้ถึง 2 คน คนที่อยู่บนเวทีของกลุ่มพันธมิตรฯ ก็ลงจากเวทีมารับตำแหน่งสำคัญในรัฐบาลมากมาย
นายณัฐวุฒิ กล่าวอีกว่า ถือเป็นครั้งแรกที่นายอภิสิทธิ์ยอมรับว่าได้พบกับนายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ อดีตเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้นายพสิษฐ์ได้เปิดเผยเรื่องนี้และพวกตนก็เคยนำมาพูด โดยนายพสิษฐ์ ยังบอกด้วยว่าไม่ได้พบกับนายอภิสิทธิ์ตามลำพัง แต่มีนายพีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค รมว.ยุติธรรมร่วมในวงสนทนาด้วย
อย่างไรก็ตาม วันที่นายอภิสิทธิ์พูดถึงนั้นเป็นวันที่นายพสิษฐ์ มาพบแล้วบอกว่าพรรคพลังประชาชนกำลังจะถูกยุบพรรค ซึ่งนายอภิสิทธิ์ไม่ได้รับฟังอย่างวางเฉยตามที่ระบุ แต่พูดว่า "พรรคเดียวมันก็ยังไม่จบ น่าจะจบไปในคราวเดียวกัน" จึงอยากถามว่าเหตุใดนายอภิสิทธิ์ จึงไม่ระบุท่าทีที่แสดงออกในวันนั้นลงไปในบันทึกดังกล่าวด้วย
"ประชาชนรู้สึกอย่างไรที่คนที่เป็นผู้นำฝ่ายค้านในขณะนั้น ติดต่อและพบกับอดีตเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญแล้วได้รับคำยืนยันว่าพรรครัฐบาลกำลังจะถูกยุบพรรค ซึ่งทราบก่อนวันตัดสินจริง เพราะขณะที่โลกกำลังรอฟังผลการตัดสินยุบพรรคพลังประชาชน พรรคชาติไทย และพรรคมัชฌิมาธิปไตย แต่นายอภิสิทธิ์ กลับทราบผลก่อนการตัดสิน และแทนที่จะแสดงความสง่างามทางการเมืองโดยเปิดเผยต่อสังคม หรือแสดงท่าทีว่าทำแบบนี้ไม่ได้ กลับเก็บไว้เป็นความลับโดยไม่บอกใคร ส่อเจตนาว่ากำลังรอรับผลประโยชน์ทางการเมืองจากคำตัดสินใช่หรือไม่ ถือเป็นใบเสร็จว่า พรรคประชาธิปัตย์รู้เห็นเป็นใจกับอำนาจนอกระบบมาโดยตลอด และยังเกี่ยวพันกับขั้นตอนการพิจารณาคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ด้วยใช่หรือไม่ ซึ่งผมสันนิษฐานว่า ขนาดยุบพรรคพลังประชาชนยังรู้ก่อนศาลจะตัดสิน แล้วการไม่ยุบพรรคประชาธิปัตย์นั้นอาจจะรู้ก่อนเป็นไปได้ใช่หรือไม่ และถ้าเป็นแบบนี้ประเทศปกครองด้วยระบอบอะไร" นายณัฐวุฒิ กล่าว
นายณัฐวุฒิ กล่าวต่อว่า สำหรับกรณีที่นายอภิสิทธิ์ระบุว่ารู้ว่าประชาชนแสลงใจกับภาพโอบกอดกับนายเนวิน ชิดชอบ แกนนำพรรคภูมิใจไทย แต่วันนั้นเชื่อว่านายเนวินตัดสินใจเพื่อให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้นั้น ตนคุ้นเคยกับนายเนวิน ไม่น้อยทั้งสมัยพรรคไทยรักไทย(ทรท.)และพรรคพลังประชาชน(พปช.) ยืนยันว่าตลอดเส้นทางการเมืองของนายเนวิน ไม่เคยมีใครเข้าอกเข้าใจและแสดงความเห็นใจได้เท่านายอภิสิทธิ์ และถือเป็นการประกาศกับประชาชนว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ถ้าได้นายอภิสิทธิ์ ก็จะได้นายเนวิน อย่างแน่นอน
นายณัฐวุฒิ กล่าวถึงกรณีที่นายอภิสิทธิ์ สรุปว่าที่ผ่านมาถ้าทำผิดคงมีข้อเดียวคือ เป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกหลังปี 2550 ที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีสั่งไม่ได้นั้น เป็นความจริง เพราะพ.ต.ท.ทักษิณสั่งไม่ได้อยู่แล้ว แต่นายเนวินสั่งได้ และนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ ก็สั่งได้ แม้ว่าจะไม่ถูกใจกันในภายหลังก็ตาม