นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์บันทึก"จากใจอภิสิทธิ์ถึงคนไทยทั้งประเทศ 2" หัวข้อ โดยครั้งนี้ระบุถึง"กฎเหล็ก 9 ข้อ : สู่บรรทัดฐานใหม่ทางการเมือง" ในเฟซบุ๊ค หลังจากได้มีการโพสต์ตอนแรกไปเมื่อวันที่ 6 มิ.ย.ที่ผ่านมา
ในครั้งนี้นายอภิสิทธิ์ ระบุว่า มีความมุ่งมั่นที่จะแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลประชาธิปัตย์ให้ความสำคัญกับประชาชนทั้งก่อนและหลังเลือกตั้ง โดยไม่มีวันทรยศต่อความไว้วางใจของประชาชน และตั้งใจวางรากฐานยกระดับบรรทัดฐานทางการเมืองของประเทศไทยให้นักการเมืองต้องมีความรับผิดชอบต่อประเทศชาติและประชาชนเช่นในประเทศที่พัฒนาแล้ว ซึ่งจะเป็นจุดเริ่มต้นของการยุติการเมืองที่ล้มเหลวได้ในระดับหนึ่ง
"ผมรับรู้ตั้งแต่วันแรกของการประชุม ครม.ว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่พรรคร่วมรัฐบาลจะปฏิบัติตามกติกาที่เราตกลงกันไว้ตั้งแต่ต้น เพราะการต่อรองเกิดขึ้นตลอดเวลา แต่ผมก็มีเส้นแบ่งที่ชัดเจนว่าโครงการไหนเป็นประโยชน์กับประชาชน ไม่มีการทำผิดกฎหมาย ก็เดินหน้าไป เพราะเราจะเอาความกลัวการทุจริตมาหยุดพัฒนาประเทศไม่ได้ แต่เราต้องพัฒนาประเทศควบคู่กับตรวจสอบการทุจริตให้ดีที่สุด ผมจึงวางแนวทางการทำงาน 9 ข้อ ซึ่งสื่อมวลชนเรียกกันว่า กฎเหล็ก 9 ข้อเพื่อยกระดับบรรทัดฐานทางการเมือง ให้ความรับผิดชอบทางการเมืองอยู่สูงกว่าความรับผิดชอบทางกฎหมาย"นายอภิสิทธิ์ ระบุ
ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่าตนเองปฏิบัติตามกฎ 9 ข้ออย่างเคร่งครัด เช่น การไม่เป็นชนวนความขัดแย้งหรือเป็นคู่กรณีกับใครที่ทำให้เกิดปัญหาการทะเลาะเบาะแว้ง ตั้งแต่เริ่มบริหารประเทศผมก็ถูกสกัดกั้นทุกทางไม่ให้ได้มีโอกาสสื่อสารกับประชาชนบางกลุ่ม แม้แต่วันแถลงนโยบายรัฐบาลก็ยังต้องไปแถลงที่กระทรวงการต่างประเทศแทนที่รัฐสภา เพราะมีคนเสื้อแดงไปล้อมอยู่
"ไม่ใช่เพราะผมขี้ขลาดหรอกครับ แต่เป็นความพยายามทุกวิถีทางเพื่อลดความรุนแรงทางการเมือง ผมกลายเป็นนายกรัฐมนตรีที่ไปในบางพื้นที่ไม่ได้ ไม่ใช่เพราะผมทำผิดคิดร้าย แต่เพราะมีการปลุกปั่นจัดตั้งประชาชนอย่างเป็นระบบเพื่อขัดขวางทุกทางไม่ให้ผมทำงานและสื่อสารกับประชาชนบางกลุ่มได้ อาจจะเรียกได้ว่า 2 ปีกว่าของการเป็นนายกรัฐมนตรีคือช่วงที่โลดโผนที่สุดในชีวิตของผมเลยก็ว่าได้"
นายอภิสิทธิ์ ระบุว่า แม้คนไทยจะตะขิดตะขวงใจกับการที่ไปทำงานกับพรรคร่วมรัฐบาลเดิม แต่คนที่คิดอยู่ในระบบย่อมเข้าใจว่า เรามีผู้เล่นอยู่เท่านี้ไม่สามารถเปลี่ยนผู้เล่นได้ เพราะคนที่จะเปลี่ยนผู้เล่นคือประชาชน เมื่อเปลี่ยนผู้เล่นไม่ได้ ต้องจัดทีมจากผู้เล่นที่มีและดูแลให้ผู้เล่นเหล่านั้นเดินตามกติกาที่ผมวางไว้ แม้ว่าผู้คนจำนวนไม่น้อยจะรู้สึกไม่ชอบใจนักกับองค์ประกอบของรัฐบาลนี้ แต่มีผลสำรวจยืนยันว่า ความสุขของคนไทยเพิ่มขึ้นเป็น 6.55 คะแนน จากเดิม 4.84 คะแนน เพิ่มขึ้นถึง 2 คะแนน
สถานการณ์เช่นนี้ทำให้ความคาดหวังทั้งหมดของคนไทยมาอยู่ที่ตนเอง และหลายคนรู้สึกผิดหวังในบางเรื่อง คิดว่าไม่เข้มแข็ง ไม่จัดการกับการทุจริต ซึ่งความจริงไม่ใช่เลย เพราะที่ผ่านมาต่อสู้เพื่อรักษาประโยชน์ประเทศ แต่ไม่ใช่วิธีการแบบหักด้ามพร้าด้วยเข่า หรือแสดงออกต่อสาธารณะให้เห็นว่าขวางหลายโครงการ แต่ใช้วิธีพูดกันเป็นการภายในใช้เหตุใช้ผล ให้เกียรติซึ่งกันและกัน ไม่ใช้จุดเปราะบางของคนอื่นมาสร้างคะแนนนิยมทางการเมืองให้ตัวเอง เพราะถือว่าเมื่อเป็นรัฐบาลร่วมกันก็ต้องมีความรับผิดชอบร่วมกันด้วย
นายอภิสิทธิ์ ระบุอีกว่า ให้ความเชื่อมั่นกับคนไทยทุกคนในฐานะที่ทำงานการเมืองมาตลอดเกือบ 20 ปีว่าไม่มีวันทรยศต่อความไว้วางใจของประชาชน ยอมรับว่าไม่สามารถสกัดกั้นการทุจริตได้ 100 % แต่สิ่งที่ให้ความมั่นใจกับพี่น้องประชาชนได้คือไม่ละเลยที่จะจัดการกับปัญหาการทุจริตและขอให้เชื่อมั่นในตัวผมว่า ทุกการตัดสินใจล้วนเป็นไปเพื่อส่วนรวมไม่เคยมีผลประโยชน์ส่วนตัวแอบแฝง
"ความผิดของผมอาจจะอยู่ตรงที่ว่า ผมไม่ใช้การตลาดนำการเมือง แต่ให้ความจริงเป็นบทพิสูจน์การกระทำ ก็เลยกลายเป็นจุดอ่อนที่ทำให้ฝ่ายตรงข้ามบิดเบือนข้อมูลการทำงานของผมอย่างต่อเนื่องตลอด 2 ปีที่ผ่านมา โดยการสร้างกระแสผ่านสื่อบางฉบับ ทำให้ประชาชนไม่น้อยเข้าใจผิดคิดว่าผมตกเป็นเบี้ยล่างยอมจำนนต่อพรรคร่วมรัฐบาลเพียงเพื่อรักษาอำนาจในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งผมก็ไม่อยากไปต่อล้อต่อเถียง เพราะพฤติกรรมของผมชัดเจนว่าไม่ได้เป็นเช่นนั้น
และ ตอนต่อไปผมจะเล่าให้ฟังเกี่ยวกับข้อครหาทุจริตในโครงการต่าง ๆ ที่ผมนำเรื่องราวเหล่านี้มาเล่าสู่กันฟังในวันนี้ ก็เพื่อยืนยันว่า แม้ผมอาจไม่สามารถสกัดกั้นปัญหาทุจริตได้เต็มร้อย แต่ก็ได้พยายามอย่างเต็มที่ ไม่เคยเกรงกลัวเรื่องผลกระทบทางการเมือง และถ้าหากประชาชนให้โอกาสผมและพรรคประชาธิปัตย์ต่อไป พลังของมวลชนจะเพิ่มความเข้มแข็งให้ผมต่อสู้เพื่อสร้างบ้านเมืองของเราให้เป็นไทยที่เข้มแข็ง"นายอภิสิทธิ์ ระบุ