นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวว่า ขณะนี้มีขบวนในการทำลายป้ายหาเสียงของพรรคเพื่อฟ้าดินเป็นจำนวนมาก ทั้งในพื้นที่ กทม.และต่างจังหวัด ซึ่งมีทั้งการอุ้มหาย ฉีดพ่นสี และกรีดทำลายให้เสียหาย ถือเป็นขบวนที่ทำให้การเลือกตั้งครั้งนี้ไม่ได้เป็นไปตามครรลองของระบอบประชาธิปไตย รวมไปถึงการซื้อสิทธิ์ขายเสียง และการใช้อิทธิพลข่มขู่คุกคาม จนผู้สมัครหลายคนต้องขอกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจมาคุ้มกัน
พร้อมกันนี้โฆษกพันธมิตรฯ ยังได้นำภาพป้ายรณรงค์โหวตโน “หนีเสือปะจระเข้" ขนาดใหญ่ที่ติดตั้งอยู่บนอาคารสูง ย่านเจริญกรุง พร้อมกล่าวด้วยว่า ป้ายขนาดใหญ่นี้เป็นการดำเนินการของภาคประชาชน ไม่เกี่ยวข้องกับพรรคเพื่อฟ้าดิน ถือเป็นป้ายที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่ภาคประชาชนเคยมีมา ทั้งนี้เราถือว่าประชาชนมีสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกได้ตาม มาตรา 45 ของรัฐธรรมนูญ ดังนั้น กกต.หรือ กทม.จะนำกฎหมายของตัวเองมาอยู่เหนือรัฐธรรมนูญ เพื่อจำกัดสิทธิเสรีภาพของภาคประชาชนไม่ได้
ด้าน พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากขบวนการทำลายป้ายหาเสียงของพรรคเพื่อฟ้าดิน และความพยายามในการจ้องเอาผิดกับป้ายหาเสียงของพรรคและพันธมิตรฯโดย กกต. แสดงให้เห็นว่าการณรงค์โหวตโนที่ผ่านมาได้ผล ทำให้ฝ่ายการเมืองมีความกังวลจึงหาทางทำทุกวิถีทางที่จะสกัดขัดขวาง ซึ่งสุดท้าย กกต.ก็วินิจฉัยแล้วว่า ป้ายหาเสียงของพรรคเพื่อฟ้าดินไม่มีความผิด
นายปานเทพ กล่าวถึงผลสำรวจของโพลล์สำนักต่างๆที่ระบุว่าพรรคเพื่อไทยจะชนะในการเลือกตั้งครั้งนี้อย่างแน่นอนนั้น เกิดขึ้นจากความอ่อนแอของรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์เอง ความพยายามในการแก้ตัวของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่กล่าวโทษพฤติกรรมของกลุ่มผู้ชุมนุมคนเสื้อแดงนั้นก็ฟังไม่ขึ้น เพราะเป็นรัฐบาลเองที่ปล่อยให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำแล้วซ้ำอีก จนเกิดการสูญเสียอย่างมากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งหากรัฐบาลสามารถควบคุมเหตุการณ์ให้ได้ตั้งแต่ปี 52 ก็คงไม่เกิดเหตุการณ์เผาบ้านเผาเมืองในปี 53 หนำซ้ำยังสนับสนุนการปล่อยตัวแกนนำผู้ก่อเหตุออกมาอีกด้วย เมื่อพรรคเพื่อไทยมีแนวโน้มที่จะชนะเลือกตั้ง แม้จะนำคะแนนเสียงโหวตโนไปสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ก็ยังไม่สามารถเอาชนะพรรคเพื่อไทยได้
ดังนั้น จึงไม่แปลกที่พรรคเพื่อไทยและกลุ่มคนเสื้อแดงพยายามโจมตีพันธมิตรฯเพื่อทำลายความชอบธรรมในการรณรงค์โหวตโน โดยพยายามเรียกร้องให้ประชาชนออกมาใช้สิทธิ์เฃลือกพรรคที่ชอบให้มากๆ เพราะเกรงว่าหากคะแนนโหวตโนมีจำนวนมาก จะทำให้พรรคเพื่อไทยไม่สามารถกระทำการใดได้ถนัด โดยเฉพาะการออกกฎหมายนิรโทษกรรม รวมทั้งยังอาจจะเป็นการสร้างอำนาจตรวจสอบถ่วงดุลรัฐบาลอีกด้วย
"เมื่อเป็นเช่นนี้หากประชาชนต้องการรักษาระบบนิติรัฐของประเทศไว้ ต้องร่วมกันกากบาทในช่องไม่ประสงค์ลงคะแนน เพื่อทำให้นักการเมืองไม่สามารถลุแก่อำนาจ สร้างความชอบธรรมโดยเสียงข้างมากในสภาได้ ทั้งยังจะเป็นการยุติวิกฤตของประเทศในภายภาคหน้า โดยการปฏิรูปการเมืองด้วยสันติวิธี และไม่ต้องมีการชุมนุม หรือเสียเลือดเสียเนื้อกันอีก โดยการร่วมกันลงคำแนนโหวตโนในบัตรเลือกตั้งทั้ง 2 ใบ"นายปานเทพ กล่าว
ทั้งนี้ หากพรรคเพื่อไทยได้รับชัยชนะตามผลการสำรวจจริง โดยที่คะแนนโหวตโนมีไม่มาก ก็จะทำให้พรรคเพื่อไทยย่ามใจทำอะไรก็ได้ โดยอาศัยเสียงข้างมากในสภาที่ชนะขาดเหนือพรรคอื่น โดยเฉพาะการนิรโทษกรรมให้แก่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หากประชาชนส่วนใหญ่ออกมาเลือกตั้งแล้วลงคะแนนเสียงให้พรรคใดพรรคหนึ่ง ก็จะเป็นการร่วมสร้างความชอบธรรมให้แก่ พ.ต.ท.ทักษิณ ไปโดยปริยาย ดังนั้นพรรคเพื่อไทยจึงจำเป็นต้องทำทุกทางให้คะแนนโหวตโนน้อยที่สุด เพื่อไม่ให้อำนาจต่อรองของประชาชนนอกสภามีมาก จนทำให้ไม่สามารถเดินเกมในสภาได้ถนัด
"ขอยืนยันว่าพันธมิตรฯไม่เห็นด้วยกับการนิรโทษกรรม แม้จะได้ประโยชน์ไปด้วยก็ตาม เพราะเห็นว่าจะเป็นการทำลายหลักนิติรัฐ และใช้มวลชนอยู่เหนือหลักจริยธรรม"นายปานเทพ กล่าว
นายปานเทพ กล่าวถึงส่วนกรณีที่มีการจับกุมสายลับกัมพูชาได้ และรัฐบาลไทยเตรียมนำเรื่องนี้เข้าเป็นส่วนหนึ่งในการต่อสู้ในชั้นศาลโลก ว่า หากเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องจริง รัฐบาลไม่สมควรที่จะนำเรื่องสายลับไปต่อสู้ในศาลโลก เพราะฝ่ายกัมพูชาก็จะนำเรื่องนายวีระ สมความคิด ที่ถูกจับกุมในข้อหาจารกรรม ไปต่อสู้ด้วยเช่นกัน ซึ่งจะไม่ก่อเกิดประโยชน์อันใด แต่รัฐบาลควรใช้เรื่องนี้ในการเจรจาต่อรองนำตัวนายวีระ และ น.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ กลับประเทศ เพื่อมาเปิดโปงความจริงของเหตุการณ์ที่ถูกจับกุม และระหว่างที่ถูกคุมขังในเรือนจำกัมพูช่จะเป็นประโยชน์มากกว่า