นายโอฬาร ไชยประวัติ หัวหน้าทีมเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทย กล่าวในการเสวนาเรื่องการสร้างรายได้แก่ประเทศไทยอย่างไรให้แข่งขันในเวทีโลกว่า เศรษฐกิจไทยต้องย้ายจากเศรษฐกิจที่อาศัยแรงงานราคาถูกไปเป็นเศรษฐกิจที่อาศัยฐานความรู้ และต้องทำให้ได้อย่างสมบูรณ์ภายใน 10 ปีข้างหน้า ด้วยการศึกษาจากประสบการณ์ของประเทศที่พัฒนาแล้ว
"เราต้องทำให้การพัฒนาประเทศซึ่งต้องอาศัยฐานภาษีในระดับต่ำ(โดยเฉพาะภาษีเงินได้นิติบุคคล) อาศัยการลงทุนที่อาศัยการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและแรงงานมีฝีมืออย่างเต็มที่ สร้างและพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อสนับสนุนการเกษตร ซึ่งเป็นการสร้างแหล่งผลิตอาหารอย่างถาวร สร้างโรงงานเอทานอล เพื่อเป็นพลังงานทดแทน พัฒนาคุณภาพคนผ่านการศึกษาที่มีคุณภาพ ให้การดูแลสุขภาพคนเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยอย่างต่อเนื่อง"นายโอฬาร กล่าว
สำหรับการนำนโยบายของพรรคเพื่อไทยไปปฏิบัติ ซึ่งจะต้องหาแหล่งเงินมาใช้นั้นจะยึดหลักการสำคัญ 3 ประการ คือ 1.การลงทุนในโครงการใดๆจะต้องมีผลตอบแทนการลงทุนอย่างน้อย 6% ต่อปี(คิดจากอัตราตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาล) ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจของไทยเติบโตอย่างมั่นคงและมีคุณภาพ ขณะเดียวกันต้องทำให้รายได้ที่เติบโตขึ้นของประเทศกระจายไปสู่ประชาชนรากหญ้าอย่างเป็นธรรม
2. การลงทุนร่วมกันระหว่างรัฐกับประชาชน โดยให้ผลประโยชน์ตกแก่คนส่วนใหญ่ของประเทศ และ 3.แหล่งที่มาของการลงทุนจะใช้จากงบประมาณประจำปีร้อยละ 40 ส่วนอีกร้อยละ 60 มาจากการลงทุนของเอกชน รวมทั้งการระดมทุนผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ต่อข้อถามว่า นโยบายสร้างรายได้ให้แก่ประเทศของพรรคเพื่อไทยจะสร้างงานได้กี่ตำแหน่งในสาขาอะไรบ้างนั้น นายโอฬาร กล่าวว่า ในปี 55 จะมีคนทำงานเต็มเวลาและไม่เต็มเวลาถึง 38 ล้านคน กระจายไปในภาคเกษตร อุตสาหกรรมและบริการ ภาคการเกษตรจะไม่ค่อยได้ทำงานเต็มเวลา คือทำงานเพียงปีละ 7 เดือน ซึ่งเป็นผลมาจากปัญหาการขาดแคลนน้ำ ถ้าคิดคำนวณจากเวลา 12 เดือนเต็มแล้วจะมีคนทำงานเพียง 30 ล้านคนเท่านั้น
พรรคเพื่อไทยจะดำเนินนโยบายตามโครงการจัดการน้ำที่จะส่งผลให้มีการสร้างงานเพิ่มขึ้นอีกปีละ 5-6 แสนคนในภาคการเกษตร การผลิตอาหารและพืชพลังงานเช่นมันสำปะหลังและอ้อย ขณะเดียวกันในภาคการเกษตรก็จะมีการใช้เทคโนโลยีมากขึ้น ส่วนภาคอุตสาหกรรมนั้น จะมีการจ้างงานเพิ่มขึ้นในอุตสาหกรรมยานยนต์ อะไหล่ยนต์ ฐานเทคโนโลยียานยนต์จะย้ายมาสู่ประเทศไทยเพิ่มขึ้น
สำหรับภาคบริการ เช่น การท่องเที่ยว จะมีการเพิ่มขึ้นของปริมาณและคุณภาพ เพื่อทำให้ประเทศไทยเกิด medical tourism มากขึ้น โดยภาคบริการทั้งหมดสามารถสร้างงานได้อีก 5-6 แสนคน พร้อมกันนั้นก็จะมีการปรับปรุงบริการด้านการศึกษา การพัฒนาคุณภาพการศึกษา และการรักษาพยาบาล
ด้านนายคณวัฒน์ วศินสังวร รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ปี 58 จะเกิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(AEC) ซึ่งจะให้เกิดการเคลื่อนย้ายทุนและย้ายฐานการผลิตเพิ่มขึ้น อาเซียนจะกลายเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่มาก และจะมีการควบรวมกิจการขึ้นครั้งใหญ่ ไทยจะกลายเป็นผู้ส่งออกรถยนต์อันดับ 2 และเป็นผู้ส่งออกผลิตภันท์อิเล็กโทรนิกเป็นอันดับ 3 ทำให้ประเทศไทย่คือหัวใจของอาเซียน สภาพการดังกล่าวจะทำให้เกิดการจ้างงานครั้งใหญ่ พรรคเพื่อไทยจึงเตรียมการวางรากฐานให้พร้อมรับ AEC อย่างเต็มที่
นายโอฬาร กล่าวถึงสถานการณ์เงินเฟ้อในปัจจุบันว่า เป็นผลจากราคาอาหารและราคาพลังงาน ราคาพลังงานเป็นสิ่งที่ควบคุมยาก เพราะไทยเป็นผู้นำเข้าพลังงาน แต่ราคาอาหารนั้นประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกอาหาร เป็นครัวโลก จึงไม่ควรจะเกิดเงินเฟ้อเพราะราคาสินค้าประเภทอาหาร สินค้า เช่น ไก่ ไข่ไก่ น้ำมันปาล์มราคาสูงขึ้น เพราะคณะผู้บริหารประเทศสร้าง demand เทียมขึ้น การแก้ปัญหานี้คือดูแล demand และ supply ให้เป็นจริง เมื่อไม่มีของเทียม ก็จะไม่มีเงินเฟ้อเทียมจากสินค้าประเภทอาหาร
ทั้งนี้ ในช่วง 5 ปีข้างหน้า (ปี 55-59) อัตราหนี้สาธารณะต่อ GDP จะลดลงจนต่ำกว่าในปัจจุบัน เป็นผลมาจากนโยบายของพรรคเพื่อไทยที่จะทำให้ GDP ของไทยเพิ่มขึ้นในอัตราส่วนที่มากขึ้นกว่าอัตราเพิ่มของยอดหนี้สาธารณะ เพราะการลงทุนในโครงการต่าง ๆ ของพรรคเพื่อไทย นอกจากจะเป็นการลงทุนของรัฐบาลแล้ว ยังเป็นลงทุนร่วมกับภาคเอกชนเป็นหลักด้วย