(เพิ่มเติม) เลือกตั้ง'54:พีเน็ตเปิดโอกาส 6 พรรคการเมืองโชว์วิสัยทัศน์แก้ปัญหาประเทศ

ข่าวการเมือง Thursday June 23, 2011 13:49 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ในเวทีดีเบต 6 พรรคการเมือง ที่จัดขึ้นโดยมูลนิธิองค์กรกลางเพื่อประชาธิปไตย(พีเน็ต) ซึ่งประกอบด้วย พรรคเพื่อไทย, พรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน, พรรคประชาธิปัตย์, พรรคภูมิใจไทย, พรรคชาติไทยพัฒนา และพรรคมาตุภูมิ ได้มีการแสดงวิสัยทัศน์ของแต่ละพรรคการเมืองใน 5 ประเด็น คือ 1.ด้านเศรษฐกิจ ในเรื่องการดูแลค่าครองชีพและราคาสินค้า 2.ด้านสังคม เกี่ยวกับการแก้ปัญหายาเสพติด 3.ด้านการศึกษา เกี่ยวกับแนวทางการพัฒนา 4.ด้านความมั่นคง เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาชายแดนอย่างยั่งยืน และ 5.ด้านการเมือง เกี่ยวกับการสร้างความปรองดองและสมานฉันท์

*การดูแลค่าครองชีพและราคาสินค้า

พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าพรรคมาตุภูมิ กล่าวว่า พรรคฯ จะดูแลให้ผลผลิตทางการเกษตรมีราคาดี และเพิ่มผลผลิตเพื่อส่งออกไปต่างประเทศได้มากขึ้น ซึ่งจะเป็นสิ่งที่ช่วยให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มมากขึ้น ขณะเดียวกันมีนโยบายจะซื้อพลังงานจากแหล่งผลิตในตะวันออกกลางเพื่อให้ได้ราคาถูก ซึ่งช่วยลดต้นทุนการผลิตของเกษตร และเห็นด้วยกับนโยบาย 2 สูงของนักธุรกิจรายใหญ่ คือ ทำให้สินค้าเกษตรมีราคาสูง และทำให้ประชาชนมีรายได้สูงขึ้น

นายกรพจน์ อัศวินวิจิตร หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ พรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน กล่าวว่า ในการแก้ปัญหาค่าครองชีพนั้น ถ้ารัฐบาลสามารถบริหารจัดการได้ดี มีการประมวลข้อมูลอย่างถูกต้องก็เชื่อว่าจะสามารถแก้ไขได้ ส่วนการดูแลราคาสินค้านั้น จะให้สินเชื่อแก่ผู้ผลิตสินค้าอุปโภค-บริโภคเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ซึ่งจะทำให้ลดต้นทุนการผลิต และนำมาซึ่งราคาสินค้าที่ถูกลง ขณะเดียวกันต้องเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ โดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยวที่ถือเป็นตัวสร้างรายได้เข้าประเทศในอัตราสูง ซึ่งเมื่อมีเม็ดเงินจากการใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยวกระจายลงไปในแต่ละพื้นที่ ก็จะช่วยให้ประชาชนในท้องถิ่นมีรายได้มากขึ้น ทำให้รัฐสามารถจัดเก็บรายได้ได้มากขึ้นด้วย

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ยืนยันเรื่องการเดินหน้าโครงการประกันรายได้ให้เกษตรกร เพราะเชื่อว่าโครงการดังกล่าวเป็นประโยชน์อีกทั้งไม่บิดเบือนกลไกตลาด และช่วยสร้างรายได้ให้เกษตรกรมากขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาถือว่าประสบความสำเร็จและช่วยเกษตรกรสามารปลดหนี้ได้ ส่วนการดูแลค่าครองชีพ ยืนยันว่าจำตรึงราคาสินค้าเท่าที่จำเป็น ไม่ว่าจะเป็นก๊าซหุงต้ม และดีเซล เพราะสินค้าทั้ง 2 ตัวนี้เป็นต้นทุนสำคัญของสินค้าอีกหลายรายการ หากไม่ตรึงราคาไว้จะทำให้สินค้าอีกหลายรายการปรับขึ้นได้

นายปิยะพันธ์ จำปาสุต ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวว่า นโยบายของพรรคในเรื่องนี้คือ การลดต้นทุนการผลิต การเพิ่มผลผลิตต่อไร่ และการใช้นโยบายประกันรายได้เกษตรกร ขณะเดียวกันพรรคฯ มีนโยบายเพิ่มโอกาสในการเป็นเจ้าของที่ดินทำกิน และเพิ่มพื้นที่ชลประทานของประเทศให้มากขึ้น ซึ่งเมื่อเกษตรกรมีที่ดินทำกินของตัวเอง มีระบบชลประทานที่ดีย่อมทำให้ผลผลิตทางการเกษตรต่อไร่เพิ่มขึ้น ต้นทุนการผลิตลดลง และสร้างรายได้ให้เกษตรกรเพิ่มขึ้นในที่สุด

นายศุภชัย ใจสมุทร โฆษกพรรคภูมิใจไทย ระบุว่า ก่อนอื่นต้องทำให้ประชาชนไม่เป็นหนี้ ซึ่งพรรคฯ มีนโยบายล้างหนี้กองทุนหมู่บ้านให้แก่ประชาชนที่กู้หนี้ยืมสินจากกองทุนดังกล่าว ขณะเดียวกันยังเห็นด้วยกับการเดินหน้าโครงการประกันรายได้เกษตรกร และมีแนวคิดจะประกันรายได้พืชผลทางการเกษตรอีกหลายชนิด ส่วนการดูแลราคาสินค้านั้น มีนโยบายลดภาษีมูลค่าเพิ่ม(VAT) ลงเหลือ 5% จากปัจจุบันที่เก็บอยู่ 7% ซึ่งจะทำให้ราคาสินค้าถูกลง โดยเม็ดเงินที่หายไป 1.5 แสนล้านบาทจากการลดภาษีนี้จะกลับเข้ามาอยู่ในกระเป๋าของประชาชน

นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า พรรคมีนโยบายในการทำบัตรสินเชื่อเพื่อเกษตรให้สามารถนำไปใช้จ่ายในการซื้อปัจจัยการผลิตได้ ขณะเดียวกันหนี้สินของประชาชนที่ไม่เกินครัวเรือนละ 5 แสนบาทนั้น จะพักชำระหนี้ให้ 3 ปี ส่วนที่เกิน 5 แสนบาทจะปรับโครงสร้างหนี้ให้ ซึ่งแนวทางนี้จะช่วยลดการเป็นหนี้ของเกษตรกร และแก้ปัญหาจากการถูกตกเขียวได้ อย่างไรก็ดี พรรคฯ ยังมองว่าการจำนำราคาข้าวยังเป็นระบบที่จะสร้างประโยชน์ให้แก่เกษตรกรมากกว่า โดยตั้งเป้าการรับจำนำราคาข้าวขาวไว้ที่ 15,000 บาท/ตัน และข้าวหอมมะลิที่ 20,000 บาท/ตัน

*การแก้ปัญหายาเสพติด

นายยงยุทธ กล่าวว่า พรรคจะยึดหลัก 3 ประการ คือ ป้องกัน, ปราบปราม และบำบัด ซึ่งแนวทางป้องกันคือต้องให้ความรู้แก่เยาวชนให้เห็นโทษ และปลูกฝังความรู้สึกเกลียดกลัวยาเสพติด ในด้านการปราบปรามนั้นจะให้แต่ละชุมชนจัดตั้ง "ตาสับปะรด" เพื่อเป็นหูเป็นตาและช่วยเอ็กซเรย์การแพร่ระบาดของยาเสพติดในแต่ละชุมชน การสอดส่องดูแลไม่ให้มีการลักลอบนำเข้ายาเสพติดจากประเทศเพื่อนบ้านมาตามแนวชายแดน ส่วนการบำบัดนั้น จะเพิ่มบุคลากรด้านสาธารณสุขให้ดูแลเกี่ยวกับการบำบัดผู้ติดยาเสพติดให้มากขึ้นในแต่ละชุมชน

นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า การแก้ปัญหายาเสพติดต้องทำให้ครบวงจรทั้งสะกัดกั้น, ปราบปราม และบำบัด โดยจะมีการสร้างความเข้มแข็งตามแนวชายแดนให้มากขึ้นเพื่อป้องกันไม่ให้ยาเสพติดจากประเทศเพื่อนบ้านทะลักเข้าไทย, จัดกำลังพิเศษลงพื้นที่ช่วยเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อนำไปสู่การขยายผลจับกุมผู้ค้ายาเสพติดรายใหญ่ และการให้โอกาสผู้ติดยาได้กลับคืนสู่สังคมด้วยการสร้างงาน หรือกลับเข้ามาศึกษาในสถานศึกษา

พล.อ.สนธิ กล่าวว่า ต้องปลูกฝังประชาชนให้รู้ถึงพิษภัยของยาเสพติด มีการเพิ่มโทษผู้ต้องหาคดียาเสพติดให้รุนแรงขึ้นเพื่อให้เกิดความหลาบจำ และให้โครงสร้างทางการปกครองเข้ามามีบทบาทในการดูแลและแก้ปัญหายาเสพติดในแต่ละท้องถิ่นได้มากขึ้น

นายศุภชัย กล่าวว่า จะเดินหน้าโครงการหมู่บ้านสีขาว ซึ่งเป็นหมู่บ้านปลอดยาเสพติด ให้เจ้าหน้าที่รัฐเน้นดูแลในพื้นที่ที่มีปัญหายาเสพติดสูงกว่าระดับปกติ เช่น กทม. ปริมณฑล และจังหวัดชายแดนใต้ ขณะเดียวกันพรรคฯ เตรียมเสนอกฎหมายเข้าสู่สภาฯ ในการเพิ่มโทษให้รุนแรงขึ้นแก่ผู้ต้องหาคดียาเสพติด ซึ่งเชื่อวิธีนี้จะได้ผลในการแก้ปัญหาการแพร่ระบายของยาเสพติดมากกว่าการนำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจลงไปปราบปรามในแต่ละพื้นที่ พร้อมกันนี้จะจับมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการร่วมกันทะลายแหล่งผลิตยาเสพติดให้หมดไป

นายกรพจน์ กล่าวว่า การแก้ปัญหาจะต้องเริ่มจากการทำให้ดีมานด์หรือผู้เสพมีจำนวนลดลง เพราะเชื่อว่าเมื่อผู้เสพลดลงแล้ว จำนวนยาเสพติดก็จะลดลงด้วย ซึ่งรัฐบาลจะต้องเพิ่มการดูแลและบำบัดผู้ติดยาให้มากขึ้น แก้ไขกฎหมายให้ผู้ที่เคยติดยาซึ่งเป็นผู้หลงผิดได้กลับเข้ามามีโอกาสใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างทัดเทียมคนอื่น ซึ่งสิ่งเหล่านี้จำเป็นต้องทำควบคู่ไปกับการปราบปรามอย่างจริงจังด้วย

*การแก้ปัญหาด้านระบบการศึกษา

นายกรพจน์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาเกิดค่านิยมที่ผิดในด้านการศึกษาคือการเน้นที่ปริมาณมากกว่าคุณภาพ จึงทำให้จำนวนผู้จบปริญญาในประเทศไทยมีจำนวนมาก แต่ยังขาดในเรื่องของคุณภาพ ดังนั้นเห็นว่าจำเป็นต้องปรับปรุงประสิทธิภาพระบบการศึกษาของไทย โดยเริ่มจากการจัดระเบียบตั้งแต่ครูอาจารย์ ยกระดับการศึกษาภาษาต่างประเทศโดยให้สิทธิพิเศษแก่สถาบันสอนภาษา และผู้สอนภาษาต่างประเทศ

นายยงยุทธ กล่าวว่า ความสำคัญของการศึกษาอยู่ที่ 3 ด้าน คือ โอกาส, ปริมาณ และคุณภาพ ซึ่งพรรคเพื่อไทยจะเดินหน้าสานต่อเรื่องกองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา การปรับปรุงคุณภาพหลักสูตรการศึกษาให้สอดคล้องกับการพัฒนาประเทศ และเพิ่มวิทยฐานะให้แก่ครูผู้สอน ตลอดจนการสร้างครูพันธุ์ใหม่ และครูต้นแบบ

พล.อ.สนธิ กล่าวว่า หลักสูตรการศึกษาที่ดีจะต้องทำให้ผู้เรียนเมื่อเรียนแล้วสามารถนำไปใช้งานได้จริง และนำไปใช้กับสังคมในอนาคตได้ ขณะเดียวกันการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้แก่ครูก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน

นายศุภชัย กล่าวว่า พรรคสนับสนุนการสร้างแรงจูงใจให้แก่ครู-อาจารย์ และสนับสนุนงบประมาณด้วยการให้ทุนเรียนฟรีแก่ผู้ที่ต้องการจบการศึกษาแล้วออกมาทำอาชีพครู ขณะเดียวกันจะต้องมีการปรับปรุงคุณภาพครู สร้างครูมืออาชีพ และพัฒนาเทคนิคในการเรียนการสอน และสื่อการเรียนการสอนให้มีคุณภาพและทันสมัยมากขึ้น

นายปิยพันธ์ กล่าวว่า หลักสูตรการเรียนการสอนในปัจจุบันฝึกให้เด็กเก่งแต่การท่องจำ แต่ไม่ค่อยฝึกให้เด็กได้หัดคิดวิเคราะห์ ทำให้เด็กแก้ปัญหาไม่เป็น ดังนั้นจึงเป็นสิ่งที่ต้องปรับปรุงแก้ไขหลักสูตรการเรียนการสอนใหม่ พร้อมมองว่าจะต้องมีการยกสถานภาพครูให้ดีขึ้นเพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี เงินเดือนมากขึ้น รวมทั้งปรับปรุงหลักสูตรการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมด้วย

นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า พรรคฯ ให้ความสำคัญกับการพัฒนาคน ดังนั้นจึงจะต่อยอดเรื่องกองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา การเรียนฟรี 15 ปี, การเชื่อมโยงผู้จบการศึกษาเข้าสู่ตลาดแรงงาน ด้วยการให้สถาบันอาชีวศึกษามีบทบาทมากขึ้นในการผลิตบุคลากรป้อนเข้าสู่ตลาดแรงงานได้ตรงสาขาอาชีพ ขณะเดียวกันจะมีการพัฒนาคุณภาพครู และลงทุนเกี่ยวกับระบบเทคโนโลยีสารสนเทศด้านการศึกษาให้มากขึ้น

*นโยบายด้านความมั่นคง-ปัญหาชายแดน

นายศุภชัย มองว่า ขณะนี้ปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้านได้ดีขึ้นเป็นลำดับ นโยบายของพรรคคือการรักษาไว้ซึ่งอธิปไตยและการรักษาดินแดนของประเทศ ขณะเดียวกันการแก้ไขปัญหากระทบกระทั่งกับประเทศเพื่อนบ้านตามแนวชายแดนนั้นจะต้องยึดหลักการเจรจา และใช้ความจริงจังในการแก้ไขปัญหา แต่ทั้งนี้ทั้งกองทัพและทหารจะต้องมีความเข้มแข็ง และรัฐบาลเองก็ควรสนับสนุนงบประมาณการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์เพื่อมีไว้ในการแสดงแสนยานุภาพของประเทศด้วย ส่วนปัญหาชายแดนใต้นั้น ต้องให้ความสำคัญกับการสร้างความยุติธรรมในพื้นที่ โดยให้มีการรับฟังความเห็นของประชาคม และมีการประสานความร่วมมือระหว่างรัฐบาลกับประชาคมท้องถิ่นให้มากขึ้น

นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า หลักในการแก้ปัญหาคือ การพัฒนาควบคู่ไปกับการสร้างความยุติธรรม ซึ่งจะพบว่าขณะนี้ชาวบ้านในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เริ่มให้ความไว้วางใจกับเจ้าหน้าที่รัฐมากขึ้น ทั้งนี้จะต้องเปิดโอกาสให้ชาวบ้านได้เข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง เพราะเมื่อชายแดนมีความสงบ ก็จะทำให้เศรษฐกิจในพื้นที่ดีขึ้นมีการค้าขายได้ปกติ ซึ่งพรรคฯ มีนโยบายจะพัฒนาพื้นที่ชายแดนแต่ละด้านเพื่อทำให้เศรษฐกิจของแต่ละพื้นที่ดีขึ้น เช่น การสร้างรถไฟความเร็วสูง, การสร้างเขตเศรษฐกิจพิเศษ เป็นต้น

พล.อ.สนธิ กล่าวว่า การสร้างความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านถือว่าเป็นสิ่งสำคัญ และไทยไม่ควรมีความขัดแย้งใดๆ กับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านที่ไทยจะสามารถใช้ประโยชน์ร่วมกันในด้านทรัพยากรธรรมชาติ เช่น พม่า, ลาว ขณะเดียวกันต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาประสิทธิภาพของกองทัพด้วย

นายกรพจน์ มองว่า แนวคิดเรื่อง "เปลี่ยนสนามรบให้เป็นสนามการค้า" ยังคงใช้ได้มาจนถึงทุกวันนี้ เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาประเทศไทยได้เปรียบดุลการค้าจากประเทศเพื่อนบ้านปีละหลายแสนล้านบาท ดังนั้นไทยต้องรักษามิตรภาพที่ดีกับประเทศเพื่อนบ้านไว้ ส่วนปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ภาคใต้ที่อาจทำให้นักธุรกิจหวั่นเกรงที่จะไปลงทุนในพื้นที่ดังกล่าวนั้น ทางพรรคฯ มีนโยบายจะให้สิทธิพิเศษทางภาษีแก่นักธุรกิจเพื่อสร้างแรงจูงใจให้เข้าไปลงทุนมากขึ้น

*นโยบายด้านการปรองดอง-สมานฉันท์

นายปิยะพันธุ์ มองว่า นโยบายนี้เป็นเรื่องเร่งด่วนอันดับแรกที่พรรคจะทำทันทีเมื่อเป็นรัฐบาลในการเดินหน้าเข้าสู่ถนนแห่งความปรองดอง จาก 4 ขั้นตอนนี้ คือ 1.เชิญทุกฝ่ายช่วยกันทำให้การเลือกตั้งเป็นไปอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม หยุดการใส่ร้ายโจมตีพรรคการเมืองคู่แข่ง 2.ยอมรับผลการเลือกตั้งและการตัดสินใจของประชาชน 3.ให้เกียรติพรรคการเมืองที่ได้เสียงข้างมากเป็นฝ่ายจัดตั้งรัฐบาลก่อน และ 4.เมื่อพรรคฯ ได้เป็นรัฐบาลแล้ว จะมีการจัดตั้งคณะกรรมการปรองดองแห่งชาต เพื่อทำให้การปรองดองเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม

นายศุภชัย ยืนยันว่า พรรคเดินหน้าสนับสนุนการนิรโทษกรรมให้แก่ผู้บริสุทธิ์ที่ตกเป็นเครื่องมือของนักการเมือง โดยยืนยันว่าจะผลักดันต่อในเรื่องของ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ขณะเดียวกันพรรคมีจุดยืนที่ชัดเจนในการสนับสนุนการปรองดองทุกรูปแบบ แต่ทั้งนี้พรรคฯ จะไม่ร่วมปรองดองกับผู้ที่มีผลประโยชน์ซ่อนเร้นแอบแฝง และไม่มีแนวคิดที่จะร่วมปรองดองกับผู้ที่ไม่ได้ยึดแนวทางการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

นายยงยุทธ กล่าวว่า ในเรื่องการปรองดองนั้น สิ่งที่พรรคเพื่อไทยจะทำ คือ การแก้ไข แต่สิ่งที่จะไม่ทำ คือการแก้แค้น ทั้งนี้เห็นว่าการปรองดองขึ้นกับ 3 สิ่งสำคัญ คือ ผู้นำ, อำนาจ และขั้นตอนการปฏิบัติ พร้อมยืนยันว่าพรรคฯ ไม่เคยพูดเรื่องการนิรโทษกรรมเพื่อบุคคลใดบุคคลหนึ่ง

นายอภิสิทธิ์ ยอมรับว่า ความขัดแย้งในชาติเกิดขึ้นจากปัญหาทางการเมืองและได้ขยายวงออกไป จุดยืนของพรรคในเรื่องการปรองดองนั้น จะต้องเร่มให้คนเคารพกฎหมายและให้กฎหมายมีความศักดิ์สิทธิ์สามารถบังคับใช้ได้ ขณะที่ผู้นำต้องพร้อมที่จะรับฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่าย และไม่มีส่วนได้ส่วนเสียถึงจะเป็นผู้นำในกระบวนการปรองดองได้ พร้อมกันนี้ย้ำว่าหากพรรคได้กลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้งจะไม่ทำเรื่องการนิรโทษกรรม และไมคืนเงิน 46,000 ล้านบาทให้แก่คนที่ทุจริต


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ