นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ขึ้นเวทีปราศรัยราชประสงค์เป็นคนสุดท้าย และได้กล่าวว่าสถานที่แห่งนี้เป็นสัญลักษณ์แห่งความขัดแย้งและสูญเสีย จึงได้ชวนผู้รับฟังยืนสงบนิ่งเพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น 1 นาที
หลังจากนั้นได้ย้ำว่าที่มาปราศรัยในที่แห่งนี้ เพื่อต้องการให้ทราบว่าพื้นที่ตรงนี้เป็นของคนไทยทั้งประเทศ ซึ่งหลังวันที่ 3 ก.ค. ถ้าได้เป็นรัฐบาลเดินหน้าต่อไปเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ชาวโลกอีกครั้ง ทั้งนี้ไม่มีเจตนาพูดถึงนโยบายในการหาเสียง ไม่มีเจตนาตำหนิใคร และใส่ร้ายใคร และไม่ตอบโต้คนที่จะมาตอบโต้ แต่มีเจตนาเปิดใจเหตุการณ์วิกฤตของบ้านเมืองว่า ผ่านพ้นมาได้อย่างไรและจะเดินไปข้างหน้าอีก 4 ปี
พร้อมกับยืนยันว่า ตนเองเป็นคนมองโลกในแง่ดี แม้จะถูกขัดขวางการทำงาน ตั้งแต่วันแรกที่ได้รับเสียงข้างมากในสภาให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และรู้ว่าเวลาในการปฏิบัติหน้าที่จะยากเพียงใด แต่ตนเองไม่มีสิทธิเลือกเมื่ออาสาเข้ามาต้องเดินหน้าให้ผ่านพ้นวิกฤตเท่านั้น และเชื่อว่าถ้าทำงานด้วยความซื่อสัตย์ ทุ่มเท ก็จะสามารถฟันฝ่าปัญหาต่างๆ ไปได้ แต่ตั้งแต่เป็นนายกรัฐมนตรี ก็ต้องหลบการขว้างก้อนหินใส่รถ จนกระทั่งปัจจุบันก็มีการขัดขวางการลงพื้นที่หาเสียง
ทั้งนี้ตนเองไม่ต้องการเป็นต้นเหตุของความขัดแย้งเหล่านี้ ซึ่งใครที่ว่าตนและพรรคประชาธิปัตย์ เป็นคู่กรณีความขัดแย้งนั้นต้องย้อนกลับไปดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อาทิเช่น การล้มการประชุมอาเซียน การทุบรถระหว่างที่ตนเองติดไฟแดงที่พัทยา รวมถึงเหตุการณ์ที่กระทรวงมหาดไทย ที่ได้มีการทุบรถจนพังยับไม่สามารถที่จะใช้งานได้ ซึ่งตนรอดชีวิตมาได้อย่างมหัศจรรย์ ซึ่งตนมีสิทธิที่จะพูดมากที่สุดว่าไม่คิดแก้แค้นใคร แต่ตนก็ไม่เคยพูด เพราะตนไม่เคยแค้นใคร แต่เดินหน้าแก้ปัญหาโดยไม่มีผู้เสียชีวิตแม้แต่คนเดียว
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่าในชีวิตการเมืองของตนเองไม่ต้องการเห็นความสูญเสีย แต่กลับเกิดเหตุการณ์ในช่วงที่ตนเองเป็นนายกรัฐมนตรี โดยในคืนวันที่ 10 เมษาเป็นคืนที่ทุกข์ที่สุด
"ผมต้องสารภาพ 10 เมษาเป็นคืนที่ผมร้องไห้อยู่นานมาก ผมคิดหลายตลบว่าจะทำอย่างไร...แต่รู้ว่าตั้งแต่คืนนั้นไม่ว่าตัดสินใจอย่างไรชีวิตไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป แต่คนที่ให้สติผมคือภรรยาครับ"นายอภิสิทธิ์ กล่าว
โดยภรรยาได้บอกกับตนว่า ถ้ามั่นใจว่าไม่ใช้ต้นเหตุที่เกิดขึ้น ทางออกทางเดียวคือแบกรับปัญหาต่อไป ห้ามหนี ห้ามทิ้งปัญหา ให้เผชิญหน้า แก้ไขให้สำเร็จให้ได้ โดยหลังจากวันนั้น ได้เดินหน้าจนเกิดเหตุสะเทือนใจหลายครั้งที่ต้องสูญเสียประชาชนผู้บริสุทธิ์ที่สีลม สวนลุม และโรงพยาบาลจุฬา ตนได้นั่งคิดตลอดจนเกิดแผนการปรองดองขึ้นมา แต่ถูกปฏิเสธจากคนๆ เดียว ซึ่งไม่เข้าใจว่าจิตใจทำด้วยอะไร เพราะผู้ชุมนุมอยู่กับความลำบาก ตนไม่เคยตำหนิแกนนำเพราะเข้าใจว่าแกนนำบางคนอยากประนีประนอม และเจรจากับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี แต่ไม่ยอม และไม่สามารถนิรโทษกรรมและคืนเงิน 4.6 หมื่นล้านบาทได้ แต่ถ้าตนมีเงินเป็นของตัวเองจะคืนให้และขอให้พ.ต.ท.ทักษิณ หยุดทำร้ายประเทศไทย แต่ทำไม่ได้เพราะเป็นภาษีของประชาชน
“เหตุการณ์ 10 เมษายินดีให้ตรวจสอบ เพราะมั่นใจว่าผมและเจ้าหน้าที่.ทำถูกกม.ทุกประการ"
ขณะที่ ถ้าน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้สมัครส.ส.บัญชีรายชื่อลำดับที่ 1 พรรคเพื่อไทย ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ก็เป็นคนที่น่าสงสารคนหนึ่งเพราะพ.ต.ท.ทักษิณ จะต้องให้ช่วยเหลือให้ตัวเองได้กลับประเทศ เชื่อว่าน.ส.ยิ่งลักษณ์ ต้องชื่นชมพ.ต.ท.ทักษิณ ในฐานะพี่ชายอยู่แล้ว และการที่พ.ต.ท.ทักษิณ ประกาศว่าไม่อยากอยู่เมืองนอกแล้ว ถ้าหากไม่ทำให้ก็ต้องดูว่าเป็นอย่างไร แต่หากน.ส.ยิ่งลักษณ์ ทำให้ก็ต้องเผชิญกับประชาชนที่ต้องการความถูกต้อง
ทั้งนี้ อยากให้เลือกประชาธิปัตย์ให้เกิน 250 เสียงแล้วเราจะได้ประกาศให้ทั่วประเทศ ทั่วโลกรู้ว่า ประเทศไทยพร้อมเดินหน้าต่อไป ว่าประเทศไทยเงินซื้อไม่ได้ คนไทยไม่ยอมให้กฎหมู่อยู่เหนือกฎหมาย ประกาศอิสรภาพจากความกลัวและการข่มขู่ รวมถึงจะทำให้รู้ว่าประเทศไทยไม่ใช่ของคนไทยคนหนึ่งหรือเพียงหนึ่งสี แต่เป็นของทุกคนและทุกสี ย้ำว่าถ้าได้ทำงานจะไม่มีการล้างความผิดให้คนใดคนหนึ่ง ซึ่งถ้าเลือกตนเองเข้าไปจะไม่ยอมให้ใครเอาชีวิตของประชาชน มาเป็นของเล่นทางการเมืองไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ใดของประเทศ การเลือกตั้งในครั้งนี้ได้กลับมาก็จะมีโอกาสทำงานอีกเพียง 4 ปีก็จะไม่ได้มีโอกาสเป็นนายกรัฐมนตรีอีกแล้ว ตนจึงเอาชีวิตเป็นเดิมพัน และทำให้ประเทศเดินไปข้างหน้า ซึ่งการเลือกตั้งตนจะทุ่มเทให้มากที่สุดในชีวิตทางการเมือง แต่ถ้าประชาชนไม่เลือกก็พร้อมยอมรับการตัดสินใจของประชาชน ซึ่งตนเองจำเป็นต้องส่งไม้ต่อให้คนอื่นในพรรคมาทำหน้าที่แทน เพราะต้องการทำให้ระบบพรรคอยู่เหนืออารมณ์ของตนเอง และอยากให้ประชาชนตัดสินใจในการเลือกตั้งครั้งนี้ไม่ว่าจะเลือกพรรคประชาธิปัตย์หรือพรรคเพื่อไทยก็อยากให้เลือกเด็ดขาดข้างหนึ่งไปเลย ถ้าประชาชนเลือกเบอร์ 10 ตนจะเดินหน้าหาทางปรองดองอย่างอดทน อดกลั้น จนถึงที่สุด แต่ถ้าตัดสินใจไม่เลือกพรรคประชาธิปัตย์เพื่อไม่ให้เสื้อแดงกลับมา ถือเป็นการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ซึ่งไม่ต้องการให้ประชาชนเป็นตัวประกัน และโอกาสนี้เป็นโอกาสที่ดีที่สุดในการถอนพิษทักษิณออกจากประเทศไทย ซึ่งคนไทยที่ชอบสิ่งที่พ.ต.ท.ทักษิณ ทำไว้ให้แยกผลการทำงานออกจากการกระทำของพ.ต.ท.ทักษิณ แต่สิ่งที่ได้กล่าวอ้างมาตลอดคือความนิยมในตัวเอง ถ้าแน่จริงให้หยุดสร้างภาพ และยกเลิกนโยบายทั้งหมด แล้วประกาศนโยบายว่าจะนำตัวพ.ต.ท.ทักษิณ กลับบ้าน แล้วให้ประชาชนตัดสินใจเลย
"3 ก.ค. ไปถอนพิษทักษิณกันนะครับ ต้องอยู่เหนือตัวบุคคล อนาคตผมไม่สำคัญเท่าอนาคตประเทศ ขอให้ตัดสินใจให้เด็ดขาด "