นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เขียนบันทึกจากใจอภิสิทธิ์ถึงคนไทยทั้งประเทศ 8 บนเฟซบุ๊ค ตอน"3 กรกฏา กับปัญหาไทย-กัมพูชา"ระบุว่า นายนพดล ปัทมะ อดีตรมว.ต่างประเทศไม่มีสิทธิ์ที่จะมาตำหนิรัฐบาลชุดนี้ เพราะเขาเป็นผู้สร้างความเสี่ยงให้ไทยต้องอยู่ในภาวะอันตรายต่ออธิปไตยของชาติ เนื่องจากเป็นผู้ไปลงนามสนับสนุนให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกแต่แพียงฝ่ายเดียวในปี 51
"สิ่งที่เขาควรทำคือการนั่งนิ่ง ๆ แล้วถามตัวเองว่าพวกเขาได้ทำอะไรลงไปกับประเทศชาติจนทำให้ผมต้องต่อสู้เพื่อรักษาสิทธิและอธิปไตยของไทยที่นายนพดลกับพวกเกือบจะยกใส่พานให้กัมพูชาไปแล้ว หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลเสียก่อน"นายอภิสิทธิ์ ระบุ
ทั้งนี้ สืบเนื่องจากนายนพดลเผยแพร่ข้อความผ่านเฟซบุ๊คเรื่อง"สุวิทย์ ทำอะไรลงไปที่ปารีส"ว่า เมื่อปีที่แล้ว 2553 นายสุวิทย์ คุณกิตติ หัวหน้าทีมเจรจามรดกโลกคุยว่าจะเลื่อนวาระแผนบริหารและจัดการปราสาทพระวิหารมาปี 54 ซึ่งตนได้บอกในตอนนั้นว่าอยากให้รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์อยู่ถึงการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกในปีนี้ และเป็นไปตามคาดนายสุวิทย์ไม่สามารถเลื่อนวาระฯ ได้อีก เพราะรัฐบาลนี้ไม่สามารถลอบบี้ประเทศอื่นที่เป็นกรรมการมรดกโลกให้ช่วยประเทศไทยได้ เพราะมีเพื่อนน้อยในเวทีโลก
นายนพดล ยังระบุอีกว่าการลาออกจากภาคีมรดกโลกจะสร้างความเสียหายให้ประเทศไทยอย่างมาก เพราะเราจะไม่สามารถนำโบราณสถาน และอุทยานแห่งชาติไปขึ้นทะเบียนมรดกโลกได้ การลาออกเป็นการปิ้งปลาประชดแมว นอกจากนั้น ยังสามารถปกป้องสิทธิในเขตแดนโดยวิธีอื่นๆได้ มากกว่าการลาออกจากภาคีมรดกโลก
ขณะที่บันทึกฉบับใหม่ของนายอภิสิทธิ์ ระบุว่า กว่าสองปีที่ผ่านมาได้เดินหน้าคัดค้านการนำเสนอแผนบริหารจัดการพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารของกัมพูชาฝ่ายเดียว และมีจุดยืนในการรักษาดินแดนไม่เคยเปลี่ยนแปลง และยืนยันว่ารัฐบาลทำสำเร็จในการคัดค้านดังกล่าว จนกระทั่งถึงขณะนี้สถานะของการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกของกัมพูชาก็ยังไม่สมบูรณ์ ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายที่เราวางไว้
การต่อสู้เพื่อปกป้องอธิปไตยยังมีเส้นทางอีกยาวไกล และไม่เห็นแก่ประโยชน์จากการขึ้นทะเบียนมรดกโลกโบราณสถานมากไปกว่าการต้องเสียดินแดนให้กัมพูชา เพราะมันเทียบกันไม่ได้เลย ซึ่งจะสู้จนถึงที่สุดบนแนวทางที่จะเป็นประโยชน์สูงสุดกับประเทศในฐานะนักการเมืองที่มีความรับผิดชอบต่อประเทศ ไม่ใช่ในฐานะทาสรับใช้ของคนที่เคยเป็นอดีตที่ปรึกษาสมเด็จฮุนเซน นายกฯกัมพูชา
"บอกตรง ๆ ว่า ผมรู้สึกละอายใจแทนคุณนพดล ที่จนถึงวันนี้ยังไม่ได้สำนึกเลยว่า ต้นตอปัญหาที่รัฐบาลคุณสร้างขึ้นกำลังส่งผลร้ายแรง คุกคามชีวิตพี่น้องประชาชนตามแนวชายแดนอย่างที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นเลย"นายอภิสิทธิ์ ระบุ
พร้อมกันนั้น นายอภิสิทธิ์ ยังลำดับเหตุการณ์เรื่องนี้ว่า รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช โดยนายนพดล ปัทมะ รมว.ต่างประเทศ ในขณะนั้น ออกแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ลงวันที่ 18 มิ.ย.51 เนื้อหาสนับสนุนให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกแต่เพียงฝ่ายเดียว และยอมรับแผนที่ 1 ต่อ 200,000 หรือแผนที่ฝรั่งเศสให้ใช้เป็นแผนการพัฒนาบริหารจัดการพื้นที่อนุรักษ์รอบปราสาทพระวิหาร ต่อมาพรรคประชาธิปัตย์อภิปรายไม่ไว้วางใจนายสมัคร และรัฐมนตรีรายบุคคลอีก 7 ราย รวมนายนพดล ประเด็นว่าการออกแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ขัด รธน. มาตรา 190 และสุ่มเสี่ยงต่อการทำให้ไทยเสียดินแดน 4.6 ตารางกิโลเมตร
และ วันที่ 28 มิ.ย.51 ศาลปกครองกลางมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวห้าม ครม.ในยุคนั้นกล่าวอ้างหรือใช้ประโยชน์จากมติ ครม.วันที่ 17 มิ.ย.51 ที่เห็นชอบแถลงการณ์ร่วมรัฐบาลไทยและรัฐบาลกัมพูชาเกี่ยวกับการจดทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกจนกว่าคดีจะถึงที่สุด และจะมีคำพิพากษาเป็นอย่างอื่น ต่อมาวันที่ 30 ธ.ค.52 ศาลปกครองกลางมีคำสั่งเพิกถอน มติ ครม. 17 มิ.ย.51 ที่เห็นชอบแถลงการณ์ร่วมไทย — กัมพูชา
จากนั้น คณะกรรมการมรดกโลกมีมติในวันที่ 8 ก.ค.51 รับรองการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหาร เป็นมรดกโลกของกัมพูชา ขณะที่ศาลรัฐธรรมนูญของไทย มีมติ 8 ต่อ 1 ชี้ขาดว่า แถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชาฯ เข้าข่ายเป็นสนธิสัญญาหรือหนังสือสัญญา แต่การลงนามในแถลงการณ์ไม่ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา จึงเป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 190 แต่ก็มิอาจยับยั้งการใช้แถลงการณ์ดังกล่าวเป็นใบเบิกทางให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารแต่เพียงฝ่ายเดียวได้
วันที่ 29 ก.ย. 2552 ป.ป.ช. มีมติ 6 ต่อ 3 ชี้มูลความผิด สมัคร-นพดล ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบกรณีออกมติครม.สนับสนุนการลงนามในแถลงการณ์ร่วมสนับสนุนการขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกของกัมพูชา มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 โดยส่งเรื่องให้กับอัยการสูงสุดส่งฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และส่งเรื่องต่อวุฒิสภาเพื่อให้ถอดถอนบุคคลทั้ง 2 ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 270 แม้วุฒิสภาจะมีมติไม่ถอดถอนนายนพดล แต่คดีอาญาที่ทำให้ชาติบ้านเมืองเสี่ยงต่อการสูญเสียอธิปไตยยังอยู่ระหว่างการไต่สวนของศาลฎีกาฯ
ต่อมามีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลช่วงปลายปี 51 รัฐบาลชุดใหม่ภายใต้การนำของตนมีจุดยืนรักษาอธิปไตยพื้นที่รอบปราสาทพระวิหาร มีมติครม. 16 มิ.ย.52 คัดค้านการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก เพราะการดำเนินการของคณะกรรมการมรดกโลกไม่สมบูรณ์และไม่ถูกต้องตามมาตรา 11(3) ของอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองมรดกโลกและข้อบัญญัติ 103, 104, 108 ของ Operational Guidelines for the Implementation of the World Heritage Convention
โดยได้โต้แย้งการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกของกัมพูชา ไปยังคณะกรรมการมรดกโลก ด้วยเหตุผลที่มีน้ำหนัก คือ มติให้ขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ละเลยเงื่อนไขของบูรณภาพที่สำคัญยิ่งต่อการดำรงไว้ซึ่งคุณลักษณะของมรดกโลก ทั้งที่ตระหนักเป็นอย่างดีถึงข้อขัดแย้งเกี่ยวกับปราสาทพระวิหารและบริเวณโดยรอบระหว่างไทย-กัมพูชา เป็นการตัดสินใจที่ไม่ช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์ฉันท์มิตรระหว่างชาติ และยังไม่เอื้อต่อการสร้างสรรค์ให้เกิดสิทธิและเสรีภาพอย่างเต็มที่ ตามปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน
อีกทั้งปรากฏชัดเจนในเวลาต่อมาว่าการตัดสินใจดังกล่าว ได้ก่อให้เกิดการเผชิญหน้าระหว่างสองประเทศจนนำไปสู่ความสูญเสียแล้ว ประกอบกับกัมพูชาเองก็ยังไม่สามารถพัฒนาพื้นที่โดยรอบตามมติคณะกรรมการมรดกโลกได้ เนื่องจากรัฐบาลไทยไม่ให้ความร่วมมือ จนทำให้คณะกรรมการมรดกโลกขยายเวลาการพิจารณาแผนบริหารจัดการพื้นที่ปราสาทพระวิหารของกัมพุชาออกไป 1 ปี กำหนดพิจารณาอีกครั้งเดือน ก.ค.53
วันที่ 13 ก.ค.53 ครม.มีมติอนุมัติงบประมาณ 10 ล้านบาทให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) นำทีมโดยสุวิทย์ คุณกิตติ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วยคณะ 15 คน เดินทางเข้าร่วมประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญครั้งที่ 34 ตามที่ ทส.เสนอ ที่บราซิลระหว่างวันที่ 25 ก.ค.-3 ส.ค.53 และวันที่ 28 ก.ค.3 ครม.มีมติสนับสนุนการทำงานของนายสุวิทย์ และมอบอำนาจให้ตัดสินใจในการวอล์คเอาท์จากที่ประชุมกรรมการมรดกโลก หากมีการดึงดันรับรองแผนบริหารจัดการพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารของกัมพูชา และให้ออกแถลงการณ์ชี้แจงข้อทักท้วงของไทยอย่างชัดแจ้ง รวมทั้งทบทวนการเป็นภาคีอนุสัญญามรดกโลก
วันเดียวกัน รัฐบาลไทยได้ประกาศจุดยืนไม่ให้ความร่วมมือในการบริหารจัดการพื้นที่ที่กระทบต่อดินแดนไทย และยืนยันความพร้อมของกองทัพไทยในการปกป้องอธิปไตยของชาติ ดังนั้น วันที่ 29 ก.ค.53 คณะกรรมการมรดกโลกรับฟังข้อทักท้วงของรัฐบาลไทยมีมติเลื่อนการพิจารณาแผนการบริหารจัดการพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารของกัมพูชาออกไปตัดสินในการประชุมปีนี้
จากนั้นรัฐบาลได้เดินสายทำความเข้าใจกับคณะกรรมการมรดกโลกถึงจุดยืนของประเทศไทยในการคัดค้านการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกแต่เพียงฝ่ายเดียวของกัมพูชา เนื่องจากการบริหารจัดการพื้นที่รอบตัวปราสาทจะส่งผลกระทบต่ออธิปไตยเหนือดินแดนไทยโดยมีการดำเนินการอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด และเมื่อมีการปะทะกันระหว่างไทย-กัมพูชา เป็นเหตุให้ยูเนสโก้ส่งผู้แทนพิเศษมาเจรจาได้ข้อสรุปว่าจะเลื่อนการพิจารณาแผนบริหารจัดการรอบปราสาทพระวิหารออกไปจนกว่าจะได้ข้อสรุปในเรื่องเขตแดนตามกรอบเจบีซีที่กัมพูชาเองก็ยอมรับกับคณะกรรมการมรดกโลกว่าแผนจะดำเนินการได้ก็ต่อเมื่อสองฝ่ายได้ข้อสรุปในเรื่องเขตแดนแล้ว
กัมพูชาพยายามคัดค้านข้อมติของ ผอ.ยูเนสโก้ ส่งร่างของตัวเองที่ฝ่ายไทยยอมรับไม่ได้เข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการมรดกโลก ซึ่งนายสุวิทย์และคณะได้ต่อสู้คัดค้านการพิจารณาร่างดังกล่าว และมิตรประเทศของไทยในคณะกรรมการมรดกโลกหลายประเทศ เช่น สวิตเซอร์แลนด์ บราซิล ฝรั่งเศส ออสเตรเลีย และอียิปต์ พยายามช่วยหาทางออกให้ แต่ประธานในที่ประชุมยืนยันที่จะให้พิจารณาร่างข้อมติทั้ง 2 ร่าง ซึ่งนายสุวิทย์เห็นว่ามีความสุ่มเสี่ยงต่อการที่จะกระทบต่ออธิปไตยของไทย จึงได้ตัดสินใจแสดงเจตนาถอนตัวตามแนวทางที่รัฐบาลได้กำหนดไว้
อย่างไรก็ดีหลังจากที่ไทยแสดงเจตนาถอนตัว คณะกรรมการก็ไม่ได้เห็นชอบกับร่างของกัมพูชา เท่ากับว่ายังไม่มีการพิจารณาแผนบริหารพื้นที่ดังกล่าว การขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกของกัมพูชายังไม่สมบูรณ์ตามเป้าประสงค์ของกัมพูชา
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า อาจจะสำเร็จทันทีที่พรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาลก็ได้ เพราะจุดยืนของพรรคเพื่อไทยชัดเจนว่าสนับสนุนการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกของกัมพูชามาโดยตลอด และนี่คือความแตกต่างระหว่างพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคเพื่อไทย หากพิจารณาจากจุดยืนของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตที่ปรึกษานายกฯฮนเซน ที่เป็นคนคิดให้พรรคเพื่อไทยทำ เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างประเทศว่า "ไทยรุกรานประเทศเพื่อนบ้าน" ประกอบกับวิธีคิดของแกนนำเพื่อไทยอย่างนางฐิติมา ฉายแสง ที่อภิปรายกลางสภาว่า "พื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรเป็นของกัมพูชามาตั้งนานแล้ว"ก็จะยิ่งตัดสินใจได้ง่ายขึ้นว่าควรเลือกใครรระหว่างพรรคเพื่อไทยกับประชาธิปัตย์เพื่อมาดูแลบูรณภาพเหนือดินแดนไทย