การปราศรัยใหญ่ของพรรคเพื่อไทย ที่สนามรัชมังคลากีฬาสถาน ช่วงเย็นวันนี้คึกคักไปด้วยกลุ่มสนับสนุนพรรคเพื่อไทยและประชาชนคนเสื้อแดงเป็นจำนวนมากที่มารอฟังการปราศรัยครั้งสุดท้ายก่อนวันเลือกตั้ง ของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้สมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ อันดับ 1 พรรคเพื่อไทย ท่ามกลางสายฝนที่ตกลงมาอย่างไม่ขาดสาย
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้ขึ้นเวทีปราศรัยในเวลา 19.00 น. โชว์วิสัยทัศน์ของพรรคเพื่อไทยถึงอนาคตประเทศไทยในปี 2020 หรือปี 2563 โดยกล่าวว่า สิ่งแรกที่พรรคเพื่อไทยจะทำเมื่อได้เข้ามาเป็นรัฐบาลคือ การแก้ปัญหาค่าครองชีพและการแก้ปัญหาเศรษฐกิจให้แก่ประชาชนด้วยการยกเลิกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้ราคาน้ำมันในประเทศถูกลงได้ เพราะน้ำมันถือเป็นต้นทุนสำคัญทั้งในการขนส่งและการผลิตสินค้า
ทั้งนี้ การยกเลิกกองทุนน้ำมันฯ ดังกล่าว จะทำให้ราคาน้ำมันเบนซิน 95 ลดลง 7.50 บาท/ลิตร เบนซิน 91 ลดลง 6.70 บาท/ลิตร และดีเซล ลดลง 2.20 บาท/ลิตร ขณะเดียวกันจะมีการสำรวจราคาสินค้าอุปโภค-บริโภค และต้นทุนการผลิตสินค้าทั้งหมด เพื่อป้องกันการผูกขาด ทั้งนี้เพื่อสร้างความเป็นธรรมให้แก่ผู้ซื้อและผู้ขาย
นอกจากนี้พรรคเพื่อไทย ยังมีนโยบายด้านที่จะจัดระเบียบของระบบรับประกันสุขภาพใหม่ เพื่อให้มียาดี มีหมอดี มีโรงพยาบาลและเครื่องมือแพทย์ที่ทันสมัย ส่วนการแก้ปัญหายาเสพติดนั้น จะขอความร่วมมือทหารเพื่อเปิดโรงเรียนนิวัติพลเมืองฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติด รวมทั้งการสร้างความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านผ่านทางกระทรวงการต่างประเทศ
ส่วนนโยบายช่วยเหลือเกษตรกรนั้น จะนำนโยบายการจำนำข้าวกลับมาใช้ในเดือน พ.ย.นี้ และจะมีการทำบัตรเครดิตด้านการเกษตร เพื่อใช้ซื้ออุปกรณ์ทางการเกษตรที่จำเป็น รวมทั้งการทำบัตรเครดิตด้านพลังงาน ให้แก่ผู้ที่ขับขี่จักรยานยนตร์รับจ้าง, แท็กซี่ และรถตุ๊กตุ๊ก ขณะที่จะเพิ่มบทบาทให้กับผู้หญิงในสังคมมากขึ้น ด้วยการจัดตั้งกองทุนสตรีและให้งบประมาณจังหวัดละ 100 ล้านบาท
ส่วนแนวนโยบายในด้านการพัฒนาระบบการขนส่งนั้น จะเชิญนานาประเทศมาร่วมสร้างระบบรถไฟฟ้าโดยใช้วิธีการทำบาร์เตอร์เทรด โดยการแลกเปลี่ยนกับสินค้าเกษตรของไทย ซึ่งจะช่วยประหยัดงบประมาณในการลงทุนและนำเม็ดเงินที่เหลือไปใช้กระตุ้นเศรษฐกิจในด้านอื่น ด้านการลงทุนในระบบสาธารณูปโภคนั้น จะมีโครงการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง การพัฒนา 25 ลุ่มน้ำ และพัฒนาระบบน้ำ การสร้างเมืองใหม่จากการถมทะเล การสร้างเขื่อนเพื่อป้องกันน้ำท่วมกรุงเทพฯ รวมทั้งการสร้างเมืองใหม่ที่กระจายตัวไปยังทั่วประเทศ พร้อมกับการกระจายงบประมาณและความเจริญไปอย่างทั่วถึง
สำหรับการดูแลผู้ประกอบการนั้น ยืนยันว่า ตั้งแต่ 1 ม.ค.55 เป็นต้นไปจะมีการปรับลดภาษีนิติบุคคลจากปัจจุบันที่เรียกเก็บอยู่ในอัตรา 30% ให้เหลือ 23% พรรคเพื่อไทย ยังมีนโยบายจะเร่งจัดตั้งกองทุนตั้งตัวได้ โดยเริ่มตั้งแต่ 1 ต.ค.54 เป็นต้นไป ซึ่งเป็นการส่งเสริมผู้ประกอบการขนาดกลางขนาดเล็ก และสร้างชนชั้นผู้ประกอบการใหม่
ขณะเดียวกันจะช่วยเหลือผู้ใช้แรงงานด้วยการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำให้อยู่ที่ 300 บาท/วัน มีการปรับเงินเดือนแก่ผู้ที่จบการศึกษาในระดับปริญญาตรี ขั้นต้นตั้งแต่ 15,000 บาท มีการออกกฎหมายเพื่อคืนภาษีให้แก่ผู้ซื้อรถยนต์และบ้านหลังแรก รวมทั้งจัดสรรเงินเพิ่มเติมให้แก่กองทุนหมู่บ้านอีกชุมชนละ 1 ล้านบาท
"ยอมรับว่าทั้งหมดนี้ยากมาก เพราะที่ผ่านมาเราถอยหลังไป 5 ปี แต่มีอีกสิ่งหนึ่งที่ต้องทำควบคู่กันไป คือ การสร้างความปรองดองของคนในชาติ" น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าว
พร้อมกับยืนยันว่า หากพรรคเพื่อไทยได้มีโอกาสจัดตั้งรัฐบาล และได้ดำเนินการตามวิสัยทัศน์ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ เชื่อว่าอีก 9 ปี คนไทยจะหายจนอย่างแน่นอน โดยจะสร้างความแข็งแรงให้กับทั้ง 5 ด้าน คือ ความแข็งแรงของเศรษฐกิจ, ความแข็งแรงของจิตใจ, ความแข็งแรงของสุขภาพกาย, ความแข็งแรงทางปัญญา และความแข็งแรงในชนชั้นของผู้ประกอบการใหม่